วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

น้องบราวน์ พราวเสน่ห์










เนื่องจากวันอังคารที่ผ่านมา(15 กุมภาฯ)ผมมีโอกาสได้แหกขี้ตาขึ้นมาดู ทีมรักของผมอย่าง "ผีแดง" แมนฯ ยูฯ ฟาดแข้งกับทีมจากฝรั่งเศษอย่าง มาร์กเซย์
ในนัดนี้ ผี3ง่ามส่งผู้เล่นลงในแบบที่เรียกว่าชุดที่ดีที่สุดที่จะหาได้เพราะนักเตะส่วนใหญ่เล่นลาป่วยหน้าแข้งกันเกือบค่อนทีม แต่ถึงหยั่งั้นทีมก็ดูดีมีชาติตระกูลมากกว่าทีมจากฝรั่งเศษอย่างหลายกระบุงยกเว้นในแผงหลังที่ประกอบไปด้วย คริส สมอล์ลิ่ง ,จอท์น "ม่ายไหร" โอเชียร์ ,แพททริค เอวร่า และ เวสลี่ย์ บราวน์

เวส บราวน์.....คุ้นๆมั๊ยครับชื่อนี้

ใช่ครับ เขาคือ "บุตรแห่งความชิปหาย และ หายนะ" ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ อวัยวะส่วนที่เรียกกันว่า "โหนก" พังประตู ลิเวอร์พลู (ล่าสุดเพิ่งตกรอบ ยูโรป้า ฮ่าฮ่า)


และครั้งหนึ่งเมื่อตอนเป็นวัยสะรุ่น เขาเคยโชว์ฟอร์มเทพราวกลับ ฟร้าน เบ็คเค่นบาวเอ่อร์ กลับชาติมาเกิด


ครับเขาลงเล่นนัดนี้พร้อมกับพกพาอะไรบางสิ่งที่คนแถวๆนี้เรียกว่า "ความหวาดเสียว" ลงไปในสนามพร้อมกลับหน้าแข้งของเขาด้วย


ถ้าใครเป็น แฟนผี หรือบางคนอาจจะไม่ใช่แฟนผี คงจำกันได้เป็นอย่างดีนะครับว่า น้องน้ำตาล ชอบกระทำการอะไรที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ค่อยทำกันในสิ่งที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า "ทำเข้าประตูตัวเอง" อยู่เป็นประจำ


เพราะฉะนั้น And ฉะนี้ ทุกเวลาที่เขาอยู่ในสนาม มันจึงสร้างความหวาดเสียวรูตูดมากกว่าสร้างความ"ไว้วางใจ" ให้กลับเหล่าแฟนผีถ้วนหน้า เพราะเหล่าสาวกปิศาจสีแดง ต้องคอยระวังอยู่ตลอกเวาลว่าเมื่อไหร่หรือตอนไหน น้องน้ำตาล มันจะลายตาข่ายของทีมตัวเองอีก ราวกับว่าเขาคือกองหน้าอีกคนของคู่ต่อสู้ไปเลยที่เดียวครับ ฮ่าฮ่า (แฟนผีตัวจริงต้องยอมรับในข้อนี้นะครับ)


ผมจำความได้ว่าครั้งหนึ่งน้องบราวน์ของเราเคยกระทำการอุกอาจด้วยการวิ่งชนนายประตูตัวเองซึ่งมีนานว่า "ฟาร์เบียง "ไอ้เหม่งบรรลัย" บาร์กเตซ" ซะล้มกลิ้งเป็นลูกขนุนเลยที่เดียว ก่อนที่(ถ้าจำไม่ผิด) เทอร์รี่ "แหนมป้าย่น" อองรี จะเอาลูกบอลไปยิงอย่างง่ายดาย


ลูกนั้นไม่มีอะไรมากครับ เพียงแค่นักเตะฝั่งตรงข้ามผ่านลูกทะลุช่องไปข้างหน้า ซึ่งน้องบราวน์โชว์ความเหนือด้วยการทำเหมือนกับว่าจะอ่านทางบอลออกและวิ่งบังทางไม่ให้ใครเข้ามาเล่นบอลได้พลางที่ "พี่เหม่ง" บาร์เตซ ทำท่าจะออกมารับลูกพอดี


สงสัยน้องบราวน์คงคิด(ในใจ)ว่า "พี่บาร์กเตซ" คงจะกระทำการเตะโด่งลูกนี้ไปข้างหน้าเองล่ะมั้ง?

ส่วนไอเหม่งก็คงคิดว่า น้องบราวน์คงจะกระทำการเล่นลูกนี้เองล่ะมั้ง?


และด้วยการที่คิดว่าแต่ละฝ่ายคงจะกระทำการ "เคลียร์ทิ้ง" เองเลยทำให้ไม่มีใครทำอะไรเลย ก่อนที่จะวิ่งชนกันราวกับอยากจะดูดปากกันปานจะกลืนกินซะอย่างนั้น

สุดท้าย แมนฯ ยูฯ โดนถลุงไป 3-1 เสียผีไปตามๆกัน(ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ)
ในนัดล่าสุดที่เจอกันกับทีมจากฝรั่งเศษก็เช่นกันครับ กองหน้าของคู่แข่งสร้างความเสียหายให้กับน้องบราวน์ ของพวกเราแฟนผีเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่หากจะว่าไปแล้วผมคิดว่า หาก ริโอ "ปากเหวอ" เฟอร์ดินานด์ กับ เนมานย่า "คนเห็กไหล" วิดิซ ลงสนามล่ะก็ กองหลังผีแดงคงจะน่าเกรงขามกว่านี้
ใช่ครับ ผมกำลังหมายถึงว่า น้องบราวน์ของเราเล่นได้ "เน่า" มากครับ ทั้งๆที่(ตามความคิดของผมนะ)กองหน้าของฝรั่งเศษก็ไม่ได้มีพิษสงน่ากลัวอะไรมากมาย
ที่จริงแล้วเกมน่าจะจบในแบบที่น้องบราวน์ของเราไม่ต้องเจ็บตัวจากการถูกวิจารณ์อะไรมาก (นอกจากการเล่นที่ยังไม่เข้าขั้น)
ชัยชนะของพลพรรคนักเตะจากนรกน่าจะชนะด้วย สกอร์ 2-0 ถึงแม้จะบุกน้อยกว่า และ สร้างโอกาสเข้าทำน้อยกว่า แต่ในเมื่อ มาร์กเซย ขาดความเฉียบคมเอง การเสียบริสุทธิ์จึงไม่น่าจะเกิดกับตาข่ายฝั่งปิศาจแดง
แต่...สงสัยน้องบราวน์คงอยากจะให้ของขวัญปลอดใจกับผู้มาเยื่อน พร้อมกับคิดในใจว่า "พวกมรึงไม่มีปัญญาจะยิงประตูรึไงฟะ? มามะ....เดี๋ยวกรูจะทำให้ดูว่า เขาเล่น "ลูกโขก" กันอย่างไร"
ว่าแล้วน้องบราวน์ผู้น่ารักก็กระโดดและทำให้สิ่งที่แฟนผีเห็นอยู่เป็นประจำแบบเนืองๆคือ "การทำเข้าประตูตัวเอง"
"แหม....ไอเชี่ย" ผมสบถในใจ พร้มกับหงุดหงิดเล็กน้อยแบบพอประมาณ
นาทีที่ 80กว่าๆแล้ว มรึงยังจะให้พวกกรู(แฟนผี)เสียวรูตูดกันอีกเหรอวะ? ฮ่าฮ่าฮ่า
ถึงสุดท้าย ผีแดงจะชนะและผ่านเข้ารอบต่อไป เพราะ 2ประตูของ "เจ้าถั่วดำ" ชิชาร์ริโต้ แต่จากเกมในนัดนี้ผมเห็นอะไรได้อย่างนึงนะครับ
ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ ที่แมนฯ ยูฯ กำลังลุ้นแชมป์ลีกอยู่กับอาร์เซน่อล มันทำให้พวกเรารู้เลยว่า หากกองหลังตัวสำรอง ยังแบบอีแบบนี้ เหล่าพวกเราแฟนผี ก็ยังคงต้องนั่งเสียว เกร็งขี้กันจนถึงนัดสุดท้ายเลยก็ได้
เพราะในนัดที่แมนฯ ยูฯ เจอกับ ลิเวอร์พลู มันได้พิสูจน์ให้เรานี่ครับว่า กองหลัง แบบนั้นมันจะไปเอาชนะใครเขาได้ตลอดทั้งฤดูกาล
หรือถ้าสุดท้ายเราได้แชมป์ แต่เราต้องแพ้ทีมคู่แค้นในแบบที่คนแถวบ้านผมเรียกว่า "มรึงเบล้อ (โง่) เอง"
เออ.....
ผมว่ามันทำใจลำบากนะครับ จริงมั๊ย?

ผมมาอีกแว้ววววววววววววววว!!!!

ขอโทษทีนะครับที่ผมเองหายหน้าหายตาไปนาน ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกคนอาจจะสงสัยว่าผมหายไปไหน ที่จริงผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ แต่มีปัญหาบางอย่างทำให้ผมมาเขียนบล็อคบ่อยๆไม่ได้ แต่ตอนนี้ปัญหาที่ว่าของผมมันถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้วผมจึงหวังว่าผมจะมีโอกาสกลับมาอัพเด็กบ่ยนะครับ



หวังว่ายังคงจะติดตามผมต่อไปนะครับทุกคน












(จริงๆแล้วบทความนี้ก้อไม่ค่อยมีใครอ่านหรอก แต่ทำไมผมถึงอยากจะเขียนน้า)

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความกวนตีนไม่เข้าใครออกใคร!!!



วันก่อนผมเจอเหตการณ์เหตการณ์หนึ่งซึ่งสร้างความระบมรูตูดให้ผมได้พอสมควรคือ ถูกผู้ปกครองของเด็กชายคนหนึ่งบุกมาด่ากราดผมถึงร้านเน็ตฯในข้อ(ที่ถูกกล่าว)หาว่าทำร้ายลูกแก


แหมแหมแหม ผมอยากจะหัวเราะเป็น "ภาษากวางเจา" ให้กับตัวเองเสียเหลือเกินเนื่องด้วย ตลกในการกระทำของคุณแม่น้องเขาครับ


ครับผมยอมรับตามตรงว่าผมทำร้ายน้องเขาจริงๆ โดยการรจับบีบคอโดยอารมส์นั้นผมคงกะให้น้องเขาตายจริงๆก็เป็นได้อันั้นผมเองก็มิอาจทราบ


ว่าง่ายๆคือ โมโห ครับ โมโห


ว่าแล้วขอเล่าย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตการณ์ที่เพื่อนๆผมในร้านเน็ตฯเรียกว่า "บอสบุก" นะครับว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร


ประมาณเที่ยงของวันหยุดราชกาลวันหนึ่งในร้านเน็ตฯซึ่งแน่นอนเต็มไปด้วยเด็กเล็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งร้าน ผมซึ่งตอนนี้ อายุ24 ปี นั่งเล่น "เปรตบุก" หรือในภาษาอังกฤษคือ "Facebook" คุยกับเพื่อนในระยะทางไกลอยู่ ว่าแล้วน้องชายผมนามว่า "ดีม" และเพื่อนๆของเขาก็เข้ามาหาผมและทำท่าทำนองว่าอยากจะขอเล่นด้วย


หนึ่งในอนาคตของชาติมีอยู่ 1 คนชื่ออย่างน่ารักน่าชังว่า "น้องฟิม"


ว่าแล้วผมก็คุยเล่นกับน้องเขาทุกๆคนตามภาษาผู้ใหญ่ที่ดีควรจะพูดกับเด็กๆทำนองว่า


"น้องๆมาเล่นเกมอะไรกันครับ" "กินข้าวแล้วยังครับ" ทำนองนี้


จริงๆครับ อาจจะไม่ใช้ภาษาดอกไม้ขนาดนั้น แตจ่ไม่มีคำไหนส่อถึงความไม่สุภาพ และไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างต่อน้องๆเยาวชนแน่นอนครับ


ว่าแล้ว น้องฟิม ผู้น่ารักก็เริ่มกระทำบางอย่างในรูปแบบที่ถูกเรียกจากคนทั่วไปว่า "กวนตีน" ด้วยการพูดจา กวนตีน วกไปวนมา ราวกับน้องเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม โดยที่น้องเขาน่าจะมีอายุประมาณ "สิปฟ่า" ปีเท่านั้นเองครับ


ผมเองก็คนครับ ทนไม่ไหวผมเลยสวนกลับไปว่า "ไอฟิม มรึงพูดเหมือนมรึงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพี่หยั่งงั้นเลยนะเว้ย?"


ไอฟิมมันสวนกลับมาว่า "เออ ใช่ ผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกบอล" พลางยกมือของมัน บรรจงจับหัวผม (จริงๆแล้วคือมันตบแบบช้า) และก็หันไปได่ชื่อพ่อน้องผม โดยที่คงจะลืมว่าชื่อพ่อน้องผมก็เป็นชื่อเดียวกับพ่อผม


เท่านั้นแหล่ะครับ ผมบรรจงเอามือของผม "บีบคอ" ของน้องเขา แบบ "เอาตาย" ก่อนที่วินาทีต่อมาผมจะปล่อยมือออกจากคอและพูดว่า "มรึงหยุดเลยนะไอฟิม พอกรูเล่นด้วยแล้วมรึงเหลิง ไปไกลกรูเลยไป"


ครับเท่านั้นจริงๆครับ


ต่อจากนั้นน้องเขาก็ไม่เคยมายุ่งผมอีกเลยจนกระทั่งวันนึงที่ ผมเข้าร้านเน็ตฯร้านเดิม และเจอกับ น้องฟิม ซึ่งตอนนี้เลื่อนยศมาเป็น "ไอฟิม" เรียบร้อย อยู่พร้อมกับพี่สาวของมันอายุน่าจะ 17-18ปี ซึ่งบอกได่คำเดียวว่า "เสียวโว้ย"


ว่าแล้วสงสัย ไอฟิม คงจะนึกว่า พี่มันอยู่ด้วยเลยเข้ามากวนตีนผมอีกรอบ โดยหารู้ไม่ว่า ผมไม่ได้กลัวพี่สวยสุกเสียวของมันเลยสักนิด ก่อนผมจะตะคอกกลับไปว่า "หนที่แล้วมรึงยังไม่จำใช่มั๊ยไอฟิม คราวนี้มรึงกวนตีนกรู มรึงเจ็บกว่าคราวก่อนแน่"


ว่าแล้วพี่สาวเสียวโว้ยก็ทำตัวเหยี่ยวข่าวคาบเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง (และคงจะใส่ไฟอีกสักเล็กน้อย)


ว่าแล้ววันต่อมา ก็เลยเกิดเหตการณ์ "บอสบุก" เลยครับ บุกถึงที่ แม่ไอฟิม มายืนด่าผมที่ร้านเน็ตฯ ทำท่าเอาจริงเอาจัง จะกินตับผมเสียให้ได้


โครตกลัวเลยครับขอบอก โครตกลัวจริง


ผมเองก็ไม่ได้ฟังว่า เขาด่าอะไรมั้ง แต่ผมสวนกลับไปว่า "คุณดูลูกคุณก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาว่าคนอื่น" เพราะผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตไปทะเลาะกับเด็กไม่มีสัมมาคารวะอย่างนั้นหรอกครับ


แต่ทางกลับกัน ผมก็เป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีขีดจำกัดความโมโหอยู่เหมือนกัน


และพอดีกับอัตราความ "กวนตีน" ของน้องฟิม ผู้น่ารักน่ากระทืบ ดันมีมากเกินกว่าวุฒิภาวะ ของผมจะรับได้มันคงไม่ผิดเลยหากผมจะกระทืบเด็กคนนี้เละคาตีน เพราะถึงน้องเขาจะเด็ก แต่เราคงเอามาอ้างไม่ได้ว่ายังเด็ก ความกวนตีน ของน้องเขามากเกินจะรัได้จริงๆครับ (แถวบ้านผมเขาพูดแบบนั้นกันทุกคน)


เด็กวันนี้คืออนาคตในวันข้างหน้า ผมอยากหัวเราะเหลือเกินครับ เหวเราะเป็นภาษากวางเจา


ว่าแล้วทำไมประเทศไทยมันถึงแย่ลงแย่ลง ทั้งๆที่เด็กบางคนเรียนเก่งเหลือเกิน เพราะมีเยาวชนผู้น่ารักน่ากระทืบ อย่างนี้อยู่ในสังคมไทยซธเป็นส่วนมากไงครับ มันเลยไม่ได้เรื่องสักที


ผมกลัวเหลือเกินครับ


กลัวว่าน้องเขาคงจะเป็นอนาคตของชาติไม่ได้แน่ๆ


เปล๊า!! ผมไม่ได้หมายความว่าน้องเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนนะครับ


แต่ผมกลัวว่าน้องเขาจะถูกกระทืบตายก่อนที่มันจะได้โตเป็นผู้ใหญ่น่ะสิครับ

อาทิตย์นี้มาว่ากันต่อครับ

  • "ซันเดอร์แลนด์" เอานะ
  • "แบล็คพลู"นอนมาแน่ๆ
  • "เอฟเวอร์ตัน"รสหวาน
  • "แอสตัน วิลล่า"มาแว้วววววว
  • "นิวคาสเซิ่ล"เบิ้ล2ดอก
  • "บาร์ซ่า"น่าลุ้น
  • "ซาราโกซ่า"มาวิน

เท่านี้พอนะครับ ถ้าแม่นก็ตอบแทนไร'ผมหน่อยก็ได้

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระเบิดลงที่ "สแตมฟอร์ด บรอดด์"



ในที่สุด สนามที่หลายๆทีมหวั่นเกรงเป็นที่สุดในช่วงหลายปีหลังๆมานี้อย่าง "สแตมฟอร์ด บริดด์" ก็เป็นอันหมดมนต์ขลัง เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนสิงโต แล้วล่ะครับ หลังจากความปราชัยในรูปแบบที่เรียกว่า "หมาไม่กัด" ของเชลซีที่มีต่อ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


ก่อนเกมจะแข่งขันสนามแห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสนามที่ ทีมเยือนไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตามจะควักชัยชนะออกไปจากสนามแห่งนี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากบรรลัยกันล์เลยทีเดียวครับ


บางคนคงจะบอกว่า "บังคับให้ตะกวดยักคิ้ว" คงง่ายกว่าเยอะ


เพราะเจ้าของสนามแห่งนี้เป็นถึงเศรษฐีแห่งกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ และยังครองความยิ่งใหญ่เทียบเคียง แมนฯ ยูฯ ในช่วง5-6 ปีหลังสุดอีกต่างหาก


เรียกได้ว่าทั้ง บรรยากาศในสนาม และเจ้าของสนามต่างอยู่ในสถานะ "เจ้าพ่อ" ทั้งคู่


แต่เหตผลกลใด ไฉนเลย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงเกิดเหตการณ์ "แมวกินเสือ" ขึ้นมาได้มิทราบ


ก่อนลงสนามเกมนี้ ต้องบอกว่า สถิติของ เชลซี ข่ม ซันเดอร์แลนด์มาก ถึงผมเองจะไม่รู้แน่ชัด แต่พิจารณาของฟอร์มทั้งอดีตและปัจจุบัน บอกตามตรงครับว่า ซันเดอร์แลนด์คงไม่แตกต่างจาก "ศพ" ทันทีที่เสียงนกหวีดเกมนัดนี้สิ้นสุด


ว่าแล้ว เชลซีก็ขนตัวจริงลงสนามอย่างครบครัน ขาดไปเพียง "มิสเตอร์ จอท์น น้ำกระฉอก เทอร์รี่" กับ "มิสเชล ควายถึก เอสเซียง" เท่านั้นครับ แต่ถึงแม่ว่าจะขาดผู้เล่นระดับเสาค้ำบ้านไป 2 คน ก็คงไม่กระทบอะไรมากมาย ในเมื่อผู้มาเยือนมานานว่า "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


บรรดา "กูรู" และ "กูอยากรู้" ต่างลงความเห็นว่า แมวดำ ตายแน่ๆ


ครับ พอเริ่มเกมมา ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิด เชลซีเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า ผู้เล่นดีกว่า ทุกอย่างดีกว่า แต่กลับขาดอะไรบางอย่างที่คนแถวนี้เรียกว่า "การสร้างสรรค์เกม"


เชลซีเล่นเหมือนนึกอะไรไม่ออก รูปแบบการเล่นไม่ชัวร์เหมือนเมื่อก่อนเจาะยังไง ฝ่ายตั้งรับก็จับกินได้หมดและที่ สำคัญ "ไอ้หมาบ้า" ดิดิเย่ร์ ดร็อคบา ดันเล่นนัดนี้ไม่ออกอีกต่างหากครับ


ว่าแล้วก็เหมือนกับว่า UFO ลัหพาตัวกองหน้าพันธุ์ข้าวเหนียว(ดำ)ผู้นี้ไปจากสนาม อย่าลืมนะครับว่า ดร็อคบา เพิ่มหายจาก "ไข้มาเลเซีย" เอ้ย!! "มาเลเรีย" จึงอาจจะเป็นเหตผลที่ทำให้กองหน้า "ถึก ควาย ทุย" ผู้นี้เล่นไม่ออก


แน่นอนการที่ตัดดร็อคบาออกจากเกมได้ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นั่นก็หมายความว่า เชลซี หมดพิษสงไปเกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว


เรียกได้ว่า ราวกับสิงโตเขี้ยวกุดไป 1 ข้างเลยทีเดียวเชียว


พอเจาะเขาไม่เข้า ก็เริ่มกดดันตัว ว่าแล้วก็ต้องชม ซันเดอร์แลนด์เช่นกันที่ พอมีโอกาส ก็ไม่ปล่อยให้มันลอยหายไปเหมือนการ "ผายลม"


ครึ่งแรก สิงโต โดนไป 1 ดอก ก่อนจะมารับ อีก 2ดอก ในครึ่งหลัง สรุป เชลซี แพ้ ซันเดอร์แลนด์ ไป 0-3


ฮ่าฮ่าฮ่า บอกตามตรงครับ เด็กผีอย่างผม รู้สึกสะใจยิ่งกว่าการที่ แมนฯ ยูฯ ชนะเชวซีเองซะอีก


เพราะ แมนฯ ยูฯ กับเชบซี เป็นทีมในระดับเดียวกัน แต่กับทีมที่วรรณะ ต่างชั้นกว่าอย่าง ซันเดอร์แลนด์ สำหรับเชลซีมันคงไม่ต่างอะไรกับ "เสียหมา" เลยครับ


จากการแพ้นัดนี้ของเชลซี ทำใหพกวเขาแพ้ไป แล้ว 3 นัด ทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาลด้วยซ้ำ


แหมอยากจะบอกเหลือเกินครับว่า จากสถิติที่ผ่านมา ทีมที่จะเป็นแชมป์โดยส่วนมากจะเป็นทีมที่ แพ้น้อยที่สุดนะครับ


แมนฯ ยูฯ ในฤดูกาลนี้ถึงจะยังไม่ แพ้ใคร แต่กลับเสมอซะมาก แต่ก็นั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยผมก็ยังได้โม้ว่า "ทีมกูยังไม่แพ้ใครนะเว้ย"


เรื่องแชมป์ค่อยไปว่ากันตอนปิดฤดูกาล แต่ตอนนี้ อย่างน้อยก็รู้อะไรได้อย่างหนึ่งล่ะครับ


"สแตมฟอร์ด บริดด์" คงไม่ขลังอย่างเดิมแล้ว




























เนื่องจากว่า มีคนบอกผมว่า "ถึงมึงไม่แทงบอล มึงก็ให้เค้าหน่อยเป็นไง บล็อคมึงจะได้มีคนมาดูมากๆ (ถ้ามึงแม่นน่ะนะ)" ว่าแล้วผมก็เลย "จัดไปอย่าให้เสีย"



  • "ฝรั่งเศษ" กินนิ่ม

  • "โปตุเกส" น่าลุ้น

  • "ฮอลแลนด์" เด็ดดวง

  • "กรีซ" เอานะ

  • "โครเอเชีย" จัดไป

  • "ฟินด์แลนด์" เชื่อกูเหอะ

เท่านี้ก่อนนะครับ พอได้ลุ้นกันนะครับ ผมว่า (ผมไม่สนับสนุนให้เล่นพนันกันนะครับ)

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สวัสดี ภูเก็ต

ห่างหายไปนานครับจากการทำบล็อค จากปกติที่ไม่ค่อยได้ทำอยู่แล้ว กลับไมได้ทำ(อัพเดท)เลย เหตเพราะว่า ผมมีอันต้องย๊ายที่ทำงานใหม่ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่าเดิม และมันคงทำให้ผมมีเวลา อัพเดทบล็อคมากขึ้น
ตอนนี้ผมอยู่ภูเก็ต ซึ่งขณะที่พิมพ์บทคามนี้อยู่ ผมกำลังจะได้ทำงานที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่ง(หวังว่า)คงดีกว่าที่ทำงานเก่า
ไม่รู้ล่ะครับ อนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และมนอาจจะเกิดได้ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย 1-2สัปด่าห์ก่อนแฟนผมยังจะบอกเลิกผมอยู่เลยครับ มาตอนนี้ กลับมาหวานกันอีกครั้ง เฮ้อ... อะไรก็ไม่รู้นะคนเรา
นี่แหล่ะครับ "ควายไม่แน่นอนคือควายไม่แน่นอน"
จะว่าไปแล้ว ผมเองก็เหมือนนักฟุตบอลเหมือนกันนะครับ มีการย๊ายสโมสร ผมเองก็มีการย๊ายที่ทำงาน แถมยังบ่อยอีกด้วย
ถ้าเป็นนักเตะคงเรียกได้ว่า "นักเตะจอมเพนจร"
ถามว่าทำไมนักเตะต้องย๊ายทีมกัน เออ..อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ แต่เหตผลที่ผมย๊ายที่ทำงานมีเพียงเหตผลเดียวครับ
ความก้าวหน้าของตัวเอง คนเราคงไม่อยากจมปลักอยู่กับที่หรอกครับ จริงมั๊ย? ยิ่งถ้าที่ที่อยู่อยู่นั้นทำท่าจะไม่มีอนาคตกับตัวเอง สู้ย๊ายมันเลยดีกว่า ใครจะว่าอะไรช่างมันครับ เอาความสบายใจของตัวเองและคนสำคัญของตัวเองไว้ก่อน ที่เหลือคงไม่ต้องไปแคร์เท่าไหร่ เรียกว่าถ้าตัดสินใจแล้วมันดีกับตัวเองก็ทำเลย
แต่ไม่ใช่ว่าย๊ายแล้วมันจะมีแต่ได้กับได้นะครับ บางทีเราก็ต้องเสียอะไรบางอย่างไปเหมือนกัน อย่างเช่นถ้าใครทำงานที่เก่ามานานแล้ว พอย๊ายไปทำงานใหม่ คงต้องปรับตัวปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ถึงจะได้ทำอาชีพเดิมอยู่ก็เถอะครับ
ถ้าไม่กล้าตัดสินใจ การเปลี่ยนแลงก็ไม่เกิด ตัดสินใจ แล้ว ลงมือทำ มันจึงจะเปลี่ยนแปลง จะเป็นทางดีหรือไม่นั้น อย่างน้อยเราก็เป็นคนเลือกเอง จริงมั๊ยครับ?
ว่าแล้วผมนึกถึงคำพูดของ "คริสเตียนโน่ กระเดือกโต โรนัลโด้" ตอนที่ย๊ายไป รีล มาดริดขึ้นมาเลยครับ
เขาพูดว่า "ที่นี่คือความฝันของผม"
ผมเองก็หวังว่คงจะได้ใช้คำพูดประโยคนั้นกับที่นี่เหมือนกันนะครับ
"ที่นี่คือความฝันของผม" แต่มีอีกประโยคที่ โรนัลโด้ ไม่ได้พูดแต่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ และผมจะพูดแทนเขาเองครับ
"ผมเชื่อว่าผมจะประสบความสำเร็จที่นี่ และผมจะต้องทำได้"

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิ้วมือเป็นปากกา และน้ำหมึกคือน้ำตาที่ไหลออกจากหัวใจ "ขอโอกาสเราอีกครั้งนะครับ"

แปลกนะครับคนเรา นึกจะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนกันง่ายๆ แต่บางอย่างอยากจะเปลี่ยนแต่กลับเปลี่ยนมันไม่ได้เลย แถมบางทีเปลี่ยนแบบกระทันหันในแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ถ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี มันก็ดีไป แต่ถ้าเปลี่ยนไปในทางไม่ดี คนที่ถูกแบบหลังนี่ก็หนักหน่อย ปรับตัวยากแน่นอน
ผมคนนึงครับ อะไรจะเปลี่ยนก็เปลยี่นได้ง่ายๆ แฟนผม เธอมีเรื่องกับคนตำแหน่งใหญ่กว่าในที่ทำงาน (ผมกับแฟนทำงานที่เดียวกันครับ) ทะเลาะกันเสร็จวันต่อมา แฟนผมหยุดงานซะอย่างงั้น และก็บอกผมว่าอยากจะกลับบ้านที่อยู่ต่างจังหวัด ผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ แต่ในวันที่แฟนผมหยุดนั้น เธอก็ไปชื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อที่จะกลับบ้านในวันต่อมาทันที สรุป เธอใช้เวลาเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจและกระทำ เป็นเวลา 3 วัน
ผลกรรมที่ตามมาคือ "ผม" ครับ งานที่ผมทำ ถึงงานมันจะไม่ดี และก็เหนื่อย แต่ผมให้สัญญากับแฟนว่า ทำงานไปถึงต้นปีหน้า ผมจะพาแฟนกลับบ้าน พร้อมกับเงินสักก้อน ซึ่งผมมั่นใจว่าผมต้องเก็บได้แน่ และกลับไปตั้งตัวกันที่บ้าน แต่นี่ยังไม่ทันต้นปี แผนต้องเปลี่ยน แฟนผมกลับบ้าน ผมพอแฟนมีเรื่องกับที่ทำงาน ผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ ต้องเลือกแฟนไว้ก่อนสิครับ ก็แฟนเราทั้งคน
แฟนผมกลับบ้านแฟน ผมก็เลยตัดสินใจกลับ้บ้านของผม ซึ่งอยู่คนละจังหวัดครับ เรื่องมาเกิดตอนนี้อีก 1 ดอกครับ แฟนผมทำท่าไม่พอใจ และบอกว่า คบกับผม มา 4-5 ปีกลับไม่มีอะไรเลย เงินเก็บก็ไม่มี สมบัติ ที่ดิน ก็ไม่มี ราวกลับว่า คบกับผมแล้วเธอจะชิปหาย ซะอย่างงั้น!!!
เธอบอกว่าคนเกิดปีเดียวกัน อยู่กินกันลำบาก...
ผมไม่เข้าใจครับ...ใช่ผมยอมรับโดยสดุดีว่าผมจนจริงๆ จนถึงขนาดทุกวันนี้ผมไม่มีที่ดินที่จะฝังศพตัวเอง แต่ทำไมล่ะครับ ในนเมือเราสารามถหาใหม่กันได้ ถ้าตอนนี้แฟน กับ ผมยังทำงานที่เดิม ถึงมันจะเหนือยหน่อย แต่ พอถึงปีหน้าผมมั่นใจครับว่า ผมมีเงินให้แฟนผมถือแน่นอนอย่างน้อยก็ 20,000 บาท ทั้งที่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่แฟนผมดันมาออกจากงานก่อน (แต่เธอก็ถูกหัวหน้าว่าจนเกินไปจริงๆน่ะแหล่ะครับ ซึ่งตอนหลัง หัวหน้าก็กลับมาพูดคล้ายกับจะขอโทษกับแฟนผม)
ครับแฟนผมเหนื่อย แต่แค่บอกผมสักคำ ผมจะไม่ให้เธอเหนื่อยเลยสักนิดครับ ผมจะทำงานหาเลี้ยงตัวเอง และตัวของแฟนผมเอง เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าเธอจะมาปล่อยผมให้ กระโดดลงกลางทะเล และอ้างว้างโดดเดี่ยวคนเดียวผมว่ามันคงเกินไปนะครับ ผมตลอดเวลาผมไม่เคยคิดจะรังเกียจแฟนผมคนนี้เลย เพราะทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่คบกันตอนแรกถึง 2ปี กว่าแฟนผมเธอใช้แต่เงินทางบ้านของผม โดยที่ทางบ้านของเธอไม่เคยออกสักบาท
มาถึงตอนนี้ บ้านผมเจอเคราะห์กรรม แฟนผมทำท่าว่า รักในความอิสระ ออกมาบอกว่า "ถ้าเราไม่มีเงินเก็บเลยก็แยกกันด้วยดี" "คนเกิดปีเดียวกัน คบกันไม่ยืด คบกันไม่ขึ้น" อยากจะให้เวลาตัวเอง" หลายๆเหตผลมันทำให้ผมน้ำตาไหลแบบไม่อายใครเลย
ทำมไมอ่ก่อนไม่เป็นแบบนี้ แต่ทำไมพอตอนนี้ กำลังบาก ถึงมาทำกันแบบนี้
จริงๆแล้วเรื่องนี้มันยังไม่เกิดขึ้นหรอกครับ แต่ผมฟังจากคำพูดของแฟนผมแล้ว ผมน้ำตาจะไหลยังไงไม่รู้ครับ
ผมถามแฟนว่า "นี่ ตัวเองจะกลับมาหาเราอีกมั๊ย?"
"เรายังไงก็ได้" นี่คือคำตอบของแฟนผม
วันก่อนผมถามว่า "ตัวเองโทรฯหาแม่มั้งมั๊ย?"
"เราโทรฯหาแล้ว แม่เราบอกว่า คบกับพัท ทำไมไม่ได้อะไรเลย ทำไมถึงอยู่กันไม่มีอะไรเก็บเลย ทำไมเพื่อนคนู้นคนนี้ถึงมีกันแล้ว ถึงรวยกันแล้ว ซึ่งเราก็คิดว่ามันจริง เรา 2 คนอยู่ด้วยกันมา 4-5 ปีทำไมมันไม่มีอะไรเลย ตอนนี้เรากำลังพิจารณาคำพูดของแม่เราอยู่ ตัวเองว่าเราคิดถูกมั๊ย?"
ใช่ครับ ที่แฟนผมพูดมันก็ไม่ผิด แต่ ผมอยากจะบอกว่า ทำไมไม่คิดถึงตอนที่มีความสุขด้วยกัน ถึงมันจะไม่มากเหมือนคนรวยคนอื่นๆเขาก็เถอะ ทำไมถึงไม่คิดถึงตอนที่ผมยามอดข้าวอดน้ำ ประหยัดทุกอย่างเพื่อซื้อของต่างๆที่เธออยากได้ให้เธอ
ทำไมไม่คิดถึงตอนที่ผม เคยออกจากหอเพื่อนของผมเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ (จริงๆแล้วหากเห็นหน้าเธอด้วย) จนทำให้ผมต้องนอนข้างถนน
ทำไมไม่คิดถึงตอนที่เธอจะฆ่าตัวตาย และผมเป็นคนแรกที่เข้าไปหาเธอ ปลอบเธอตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับฟังและอยู่เคียงข้างเธอโดยที่ผมไม่เคยคิดจะรำคาญ และมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ทำมไม่คิดถึงตอนที่ผมส่งเงินส่งของให้แม่เธอตามที่เธอขอมา โดยที่ผมอาจจะหงุดหงิดมั้ง แต่ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากให้ แต่ผมอยากให้เรา 2 คนตั้งตัวได้ก่อนแล้วจึงค่อยส่งให้พ่อแม่ของพวกเรา
สิง่ที่ผมทำมาทั้งหมด หากเธอลำบาก ผมขอโทษ ในขณะที่ผมนั่งเขียน (พิมพ์) อยู่นี้ น้ำอุ่นๆจากตาผมมันเริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมทำผิด หรือว่าอะไร ผมพร้อมแก้ไข ขอเพียงเธอบอกมา ผมพร้อมจะยอมทำทุกอย่าง ขอแค่เพียงเธอไม่จากผมไป....
ข้างนอกเธอจะได้เจอคนรวยและฐานะดีกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน แต่ถ้าเธอจะหาคนที่รักเธอ ในแบบที่ว่า ยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ ชีวิตนี้ก็ยอมสละให้เธอได้ นอกจากพ่อแม่ของเธอแล้ว ผมกล้ายืนยันเลยว่ามีเพียงผมคนเดียวในจักรวาลนี้
แฟนผมบอกว่า ให้โอกาสผมอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาผมให้ไม่หยุดเพราะความดีใจ และตั้งแต่นั้นมาผมยอมให้ตัวเองอดเพื่อพิสูจณ์ว่าผมจะไม่ให้เธอลำบอกอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ (แต่ความจริง คนเราทุกคนมันก็ต้องมีขึ้นมีลงอยู่แล้ว)
สำหรับผมแล้วเธอเป็นมากยิ่งกว่าชีวิต เธอยืนอยู่ในระดับเดียวกับ พ่อและ แม่ ของผม เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ผมกล้าพูดแบบไม่อายปากเลยว่า เธอลำบากมาด้วยกันกับผม (ตอนอยู่กับพ่อ แม่ ผมยังมีเงินอยู๋ แต่ตอนเริ่มคบและอยู่กับเธอ พ่อแม่ ผมเริ่มที่จะ จนลง เลยทำให้ผมกับเธอลำบากมาด้วยกัน)
ถ้าถามว่าผมยอมตายเพื่อเธอได้รึเปล่า? คำตอบคือ "ได้" และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ และตลอดไป
ผมขอถามคำถามเธอคำถามเดียวว่า "ตัวเองจะอยู่กลับเราตลอดไปได้รึเปล่า?"
และผมเชื่อเหลือเกินครับว่า คำตอบขอแฟนผมก็คือ "ได้"
ครับ ตอนนี้เธออาจจะรักในความอิสระที่เธอ ได้อยู่ตัวคนเดียว ได้อยู่กับเพื่อนๆ และได้อยู่ไกลจากผม มันอาจจะทำให้เธอหลงผิดไปบ้าง แต่ไม่ว่ายังไง ผมยังรักเธอเสมอ และถ้าเธอกลับมาชายคนนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
....
....
คำที่ผมอยากจะบอกมีเพียงคำเดียวครับ
...
...
"ให้โอกาสบอล อีกครั้งนะครับ ต่าย"

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฟุตบอล สอนความรัก

เมื่อไม่นานเพื่อนผมคนนึง (ขออณุญาติสงวนนาน) มันเพิ่งอกหักจากเมียรัก ด้วยข้อหา "กวนส้นตีน"


คือเมียมันมาบอกเลิกและก็ให้เหตผลว่า "คุณกวนส้นตีลลส์มากไปนะคะ" แค่เนี้ย!?!


ฮ่าฮ่าฮ่า ขออณุญาติ หัวเราะในความงี่เง่าของ ผู้หญิง ที่รักในความสุภาพ ชนิดที่ยอมให้ความกวนส้นตีนของสามีอันเป็นที่รักมาบอกอำลาชีวิตรักที่ยาวนาน (มันบอกผมว่าคบกันมา 2 ปี)


คือ เพื่อนผมอาจจะกวนตีนมากไปหน่อยก็จริง แต่ คราวหน้า กรุณาหาเหตผลที่มัน ดูดีกว่านี้หน่อยดีกว่านะครับคุณเธอว์


หรือบอกเลิกกันตอนที่คบกันมาได้สักเดือน - 2เดือน ดีกว่านะครับ นี่ อะไร นอนเล่น "ปลอกกล้วยเข้าปาก" กับเพื่อนผมมาตั้ง 2 ปี เพิ่งบอกเลิก!!! ฮาครับฮา


สุดท้าย...เพื่อนผมคนนี้ร้องไห้ ฟูมฟาย ราวกับญาติเสีย ก่อนจะตะโกนบอกฟ้าว่า "ไอ้เชี่ย กรูทำผิด แมร่ง อารายว้า!!!!!!!!!"


มันบอกว่า ฟ้าช่างเล่นตลกกับมันเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้หักมุมแบบ "เหลือเชื่อ" เช่นนี้


แบบนี้ตรงกับวลี Classic วลี หนึ่งนะครับ คือ


"ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน"


เหมือนกันเลยครับ กับฟุตบอล ลูกบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ความห่าเหวของโลกใบนี้มีอยู่จริง และมันก็ซึมเข้าไปอยู่ในทุกอณู ของ ทุกสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้แต่กีฬา ที่มีคนดูกันทั้งโลกอย่าง ฟุตบอล


ทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนโลก และ โลกลูกหนัง


ทีมใหญ่แพ้ทีมเล็ก นักเตะตบกรรมการ กรรมการตบนักเตะ กรรมการใช้วิชาตัวเบาวิ่งทะลุกระจก คนวิ่งแก้ผ้ากลางสนาม หรือแม้แต่นักเตะปวดขี้ระหว่างแข่ง ผมยังเคยเห็นมาเลยครับ


ตัวอย่างเช่น ในปี 1998-1999 แมนฯยูฯ ประกาศความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ในปีนั้นมาครองได้สำเร็จ สร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกทีมใน พรีเมียร์ลีกเป็น อย่างมาก แต่ชิปหาย!!! สิ้นฤดูกาล เอริก คันโตน่า ตำนานแมนฯยูฯกลับประกาศแขวนรองเท้าสร้างความงงงวยให้ผู้คนเป็นอย่างมาก ทั้งที่ฤดูกาลต่อมาเขาอาจจะได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานประวัติศาสตร์ หากร่วมกันโขยกถ้วย URL บนโพเดี้ยมฉลองแชมป์ แมร่งเสือกประกาศแขวนเกือกซะงั้น เด็กผีทุกหมู่เหล่าต่างออกอาการ "เดี๊ยนรับไม่ดร้าย~~~~" กันเป็นแถบๆ
ฮ่าฮ่าฮ่า แถวบ้านผมบางคนเขาเรียก "งงแด๊กส์" ครับ หรือให้หนักกว่านั้นเขาจะเรียกว่า "กวนส้นตีน"
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ มีทีมๆหนึ่งที่ดันแพ้น้อยกว่า และ ยิงประตูทีมดาร์บี้ เคาน์ตี้ ทีมที่สร้างประวัติศาสตร์แห้งวงการฟุตบอล(ในด้านห่วยๆ)ได้มากกว่าทีมแชมป์ แต่พลันพอสิ้นลมหายใจของฤดูกาล กลับไม่ได้แชมป์ พร้อมกับการมาของอาการ "หนวดรับไม่ดร้าย~~~~" ทั้งที่ไม่เคยคิดจะมองดูตารางการแข่งขัน บางคนยังบอกว่านี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยคร้าบ~~~~
ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้จะอะไรนักหนา
จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวอย่างเลยครับ แต่ผมขี้เกียจยกมากล่าว เพราะจำไม่ได้แล้ว
แต่ที่สังเกตได้อย่างหนึ่งคือ เรื่องเหลือเชื่อต่างๆไม่ว่าจะของวงการไหนก็ตาม ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากต่างหากล่ะครับ พอมันเกิดขึ้นพวกเราโดยส่วนมากจะอึกทึกคิดเป็นตุเป็นตะว่ามัน "เหลือเชื่อ" "เป็นไปไม่ได้" ไปเองมากกว่า
ทั้งๆที่หากมามองดีๆแล้วทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้
อยู่ที่ว่าคุณจะมองอย่างไร ต่างหากล่ะครับ
ทุกวันนี้ แมนฯยูฯ หลุดฟอร์มเล่นห่วยแตก หมาไม่กัด เสมอแม้แต่ทีมที่ไม่น่าจะเสมอ และเสมอในแบบที่เหลือเชื่อสุดๆมา 4-5 นัดติด ผมเห็นว่าผมยังไม่เป็นไรเลยนี่ครับ ผมยัง "กินดี ขี้ออกได้" เหมือนเดิม
ครับ...เหรียญมี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะมองด้านไหน
อยากให้เพื่อนผมลองคิดดูนะครับว่า ตอนนี้ คุณ "เสียความรักไป" หรือ คุณ "ได้ความอิสระ" กลับคืนมา
.....
.....
.....
.....
เอ่อ จะว่าไป ตอนนี้มีทีม ทีมนึงซึ่งเป็นทีมประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดพอกันกับ แมนฯยูฯ กำลังลุ้นหนีตกชั้นอยู่ท้ายตาราง
เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ ไม่แน่นะครับ อาจจะเกิดขึ้นจริงๆก็ได้
เหอ เหอ เหอ