วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระเบิดลงที่ "สแตมฟอร์ด บรอดด์"



ในที่สุด สนามที่หลายๆทีมหวั่นเกรงเป็นที่สุดในช่วงหลายปีหลังๆมานี้อย่าง "สแตมฟอร์ด บริดด์" ก็เป็นอันหมดมนต์ขลัง เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนสิงโต แล้วล่ะครับ หลังจากความปราชัยในรูปแบบที่เรียกว่า "หมาไม่กัด" ของเชลซีที่มีต่อ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


ก่อนเกมจะแข่งขันสนามแห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสนามที่ ทีมเยือนไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตามจะควักชัยชนะออกไปจากสนามแห่งนี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากบรรลัยกันล์เลยทีเดียวครับ


บางคนคงจะบอกว่า "บังคับให้ตะกวดยักคิ้ว" คงง่ายกว่าเยอะ


เพราะเจ้าของสนามแห่งนี้เป็นถึงเศรษฐีแห่งกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ และยังครองความยิ่งใหญ่เทียบเคียง แมนฯ ยูฯ ในช่วง5-6 ปีหลังสุดอีกต่างหาก


เรียกได้ว่าทั้ง บรรยากาศในสนาม และเจ้าของสนามต่างอยู่ในสถานะ "เจ้าพ่อ" ทั้งคู่


แต่เหตผลกลใด ไฉนเลย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงเกิดเหตการณ์ "แมวกินเสือ" ขึ้นมาได้มิทราบ


ก่อนลงสนามเกมนี้ ต้องบอกว่า สถิติของ เชลซี ข่ม ซันเดอร์แลนด์มาก ถึงผมเองจะไม่รู้แน่ชัด แต่พิจารณาของฟอร์มทั้งอดีตและปัจจุบัน บอกตามตรงครับว่า ซันเดอร์แลนด์คงไม่แตกต่างจาก "ศพ" ทันทีที่เสียงนกหวีดเกมนัดนี้สิ้นสุด


ว่าแล้ว เชลซีก็ขนตัวจริงลงสนามอย่างครบครัน ขาดไปเพียง "มิสเตอร์ จอท์น น้ำกระฉอก เทอร์รี่" กับ "มิสเชล ควายถึก เอสเซียง" เท่านั้นครับ แต่ถึงแม่ว่าจะขาดผู้เล่นระดับเสาค้ำบ้านไป 2 คน ก็คงไม่กระทบอะไรมากมาย ในเมื่อผู้มาเยือนมานานว่า "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


บรรดา "กูรู" และ "กูอยากรู้" ต่างลงความเห็นว่า แมวดำ ตายแน่ๆ


ครับ พอเริ่มเกมมา ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิด เชลซีเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า ผู้เล่นดีกว่า ทุกอย่างดีกว่า แต่กลับขาดอะไรบางอย่างที่คนแถวนี้เรียกว่า "การสร้างสรรค์เกม"


เชลซีเล่นเหมือนนึกอะไรไม่ออก รูปแบบการเล่นไม่ชัวร์เหมือนเมื่อก่อนเจาะยังไง ฝ่ายตั้งรับก็จับกินได้หมดและที่ สำคัญ "ไอ้หมาบ้า" ดิดิเย่ร์ ดร็อคบา ดันเล่นนัดนี้ไม่ออกอีกต่างหากครับ


ว่าแล้วก็เหมือนกับว่า UFO ลัหพาตัวกองหน้าพันธุ์ข้าวเหนียว(ดำ)ผู้นี้ไปจากสนาม อย่าลืมนะครับว่า ดร็อคบา เพิ่มหายจาก "ไข้มาเลเซีย" เอ้ย!! "มาเลเรีย" จึงอาจจะเป็นเหตผลที่ทำให้กองหน้า "ถึก ควาย ทุย" ผู้นี้เล่นไม่ออก


แน่นอนการที่ตัดดร็อคบาออกจากเกมได้ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นั่นก็หมายความว่า เชลซี หมดพิษสงไปเกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว


เรียกได้ว่า ราวกับสิงโตเขี้ยวกุดไป 1 ข้างเลยทีเดียวเชียว


พอเจาะเขาไม่เข้า ก็เริ่มกดดันตัว ว่าแล้วก็ต้องชม ซันเดอร์แลนด์เช่นกันที่ พอมีโอกาส ก็ไม่ปล่อยให้มันลอยหายไปเหมือนการ "ผายลม"


ครึ่งแรก สิงโต โดนไป 1 ดอก ก่อนจะมารับ อีก 2ดอก ในครึ่งหลัง สรุป เชลซี แพ้ ซันเดอร์แลนด์ ไป 0-3


ฮ่าฮ่าฮ่า บอกตามตรงครับ เด็กผีอย่างผม รู้สึกสะใจยิ่งกว่าการที่ แมนฯ ยูฯ ชนะเชวซีเองซะอีก


เพราะ แมนฯ ยูฯ กับเชบซี เป็นทีมในระดับเดียวกัน แต่กับทีมที่วรรณะ ต่างชั้นกว่าอย่าง ซันเดอร์แลนด์ สำหรับเชลซีมันคงไม่ต่างอะไรกับ "เสียหมา" เลยครับ


จากการแพ้นัดนี้ของเชลซี ทำใหพกวเขาแพ้ไป แล้ว 3 นัด ทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาลด้วยซ้ำ


แหมอยากจะบอกเหลือเกินครับว่า จากสถิติที่ผ่านมา ทีมที่จะเป็นแชมป์โดยส่วนมากจะเป็นทีมที่ แพ้น้อยที่สุดนะครับ


แมนฯ ยูฯ ในฤดูกาลนี้ถึงจะยังไม่ แพ้ใคร แต่กลับเสมอซะมาก แต่ก็นั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยผมก็ยังได้โม้ว่า "ทีมกูยังไม่แพ้ใครนะเว้ย"


เรื่องแชมป์ค่อยไปว่ากันตอนปิดฤดูกาล แต่ตอนนี้ อย่างน้อยก็รู้อะไรได้อย่างหนึ่งล่ะครับ


"สแตมฟอร์ด บริดด์" คงไม่ขลังอย่างเดิมแล้ว




























เนื่องจากว่า มีคนบอกผมว่า "ถึงมึงไม่แทงบอล มึงก็ให้เค้าหน่อยเป็นไง บล็อคมึงจะได้มีคนมาดูมากๆ (ถ้ามึงแม่นน่ะนะ)" ว่าแล้วผมก็เลย "จัดไปอย่าให้เสีย"



  • "ฝรั่งเศษ" กินนิ่ม

  • "โปตุเกส" น่าลุ้น

  • "ฮอลแลนด์" เด็ดดวง

  • "กรีซ" เอานะ

  • "โครเอเชีย" จัดไป

  • "ฟินด์แลนด์" เชื่อกูเหอะ

เท่านี้ก่อนนะครับ พอได้ลุ้นกันนะครับ ผมว่า (ผมไม่สนับสนุนให้เล่นพนันกันนะครับ)

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สวัสดี ภูเก็ต

ห่างหายไปนานครับจากการทำบล็อค จากปกติที่ไม่ค่อยได้ทำอยู่แล้ว กลับไมได้ทำ(อัพเดท)เลย เหตเพราะว่า ผมมีอันต้องย๊ายที่ทำงานใหม่ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่าเดิม และมันคงทำให้ผมมีเวลา อัพเดทบล็อคมากขึ้น
ตอนนี้ผมอยู่ภูเก็ต ซึ่งขณะที่พิมพ์บทคามนี้อยู่ ผมกำลังจะได้ทำงานที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่ง(หวังว่า)คงดีกว่าที่ทำงานเก่า
ไม่รู้ล่ะครับ อนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และมนอาจจะเกิดได้ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย 1-2สัปด่าห์ก่อนแฟนผมยังจะบอกเลิกผมอยู่เลยครับ มาตอนนี้ กลับมาหวานกันอีกครั้ง เฮ้อ... อะไรก็ไม่รู้นะคนเรา
นี่แหล่ะครับ "ควายไม่แน่นอนคือควายไม่แน่นอน"
จะว่าไปแล้ว ผมเองก็เหมือนนักฟุตบอลเหมือนกันนะครับ มีการย๊ายสโมสร ผมเองก็มีการย๊ายที่ทำงาน แถมยังบ่อยอีกด้วย
ถ้าเป็นนักเตะคงเรียกได้ว่า "นักเตะจอมเพนจร"
ถามว่าทำไมนักเตะต้องย๊ายทีมกัน เออ..อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ แต่เหตผลที่ผมย๊ายที่ทำงานมีเพียงเหตผลเดียวครับ
ความก้าวหน้าของตัวเอง คนเราคงไม่อยากจมปลักอยู่กับที่หรอกครับ จริงมั๊ย? ยิ่งถ้าที่ที่อยู่อยู่นั้นทำท่าจะไม่มีอนาคตกับตัวเอง สู้ย๊ายมันเลยดีกว่า ใครจะว่าอะไรช่างมันครับ เอาความสบายใจของตัวเองและคนสำคัญของตัวเองไว้ก่อน ที่เหลือคงไม่ต้องไปแคร์เท่าไหร่ เรียกว่าถ้าตัดสินใจแล้วมันดีกับตัวเองก็ทำเลย
แต่ไม่ใช่ว่าย๊ายแล้วมันจะมีแต่ได้กับได้นะครับ บางทีเราก็ต้องเสียอะไรบางอย่างไปเหมือนกัน อย่างเช่นถ้าใครทำงานที่เก่ามานานแล้ว พอย๊ายไปทำงานใหม่ คงต้องปรับตัวปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ถึงจะได้ทำอาชีพเดิมอยู่ก็เถอะครับ
ถ้าไม่กล้าตัดสินใจ การเปลี่ยนแลงก็ไม่เกิด ตัดสินใจ แล้ว ลงมือทำ มันจึงจะเปลี่ยนแปลง จะเป็นทางดีหรือไม่นั้น อย่างน้อยเราก็เป็นคนเลือกเอง จริงมั๊ยครับ?
ว่าแล้วผมนึกถึงคำพูดของ "คริสเตียนโน่ กระเดือกโต โรนัลโด้" ตอนที่ย๊ายไป รีล มาดริดขึ้นมาเลยครับ
เขาพูดว่า "ที่นี่คือความฝันของผม"
ผมเองก็หวังว่คงจะได้ใช้คำพูดประโยคนั้นกับที่นี่เหมือนกันนะครับ
"ที่นี่คือความฝันของผม" แต่มีอีกประโยคที่ โรนัลโด้ ไม่ได้พูดแต่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ และผมจะพูดแทนเขาเองครับ
"ผมเชื่อว่าผมจะประสบความสำเร็จที่นี่ และผมจะต้องทำได้"