วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความกวนตีนไม่เข้าใครออกใคร!!!



วันก่อนผมเจอเหตการณ์เหตการณ์หนึ่งซึ่งสร้างความระบมรูตูดให้ผมได้พอสมควรคือ ถูกผู้ปกครองของเด็กชายคนหนึ่งบุกมาด่ากราดผมถึงร้านเน็ตฯในข้อ(ที่ถูกกล่าว)หาว่าทำร้ายลูกแก


แหมแหมแหม ผมอยากจะหัวเราะเป็น "ภาษากวางเจา" ให้กับตัวเองเสียเหลือเกินเนื่องด้วย ตลกในการกระทำของคุณแม่น้องเขาครับ


ครับผมยอมรับตามตรงว่าผมทำร้ายน้องเขาจริงๆ โดยการรจับบีบคอโดยอารมส์นั้นผมคงกะให้น้องเขาตายจริงๆก็เป็นได้อันั้นผมเองก็มิอาจทราบ


ว่าง่ายๆคือ โมโห ครับ โมโห


ว่าแล้วขอเล่าย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตการณ์ที่เพื่อนๆผมในร้านเน็ตฯเรียกว่า "บอสบุก" นะครับว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร


ประมาณเที่ยงของวันหยุดราชกาลวันหนึ่งในร้านเน็ตฯซึ่งแน่นอนเต็มไปด้วยเด็กเล็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งร้าน ผมซึ่งตอนนี้ อายุ24 ปี นั่งเล่น "เปรตบุก" หรือในภาษาอังกฤษคือ "Facebook" คุยกับเพื่อนในระยะทางไกลอยู่ ว่าแล้วน้องชายผมนามว่า "ดีม" และเพื่อนๆของเขาก็เข้ามาหาผมและทำท่าทำนองว่าอยากจะขอเล่นด้วย


หนึ่งในอนาคตของชาติมีอยู่ 1 คนชื่ออย่างน่ารักน่าชังว่า "น้องฟิม"


ว่าแล้วผมก็คุยเล่นกับน้องเขาทุกๆคนตามภาษาผู้ใหญ่ที่ดีควรจะพูดกับเด็กๆทำนองว่า


"น้องๆมาเล่นเกมอะไรกันครับ" "กินข้าวแล้วยังครับ" ทำนองนี้


จริงๆครับ อาจจะไม่ใช้ภาษาดอกไม้ขนาดนั้น แตจ่ไม่มีคำไหนส่อถึงความไม่สุภาพ และไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างต่อน้องๆเยาวชนแน่นอนครับ


ว่าแล้ว น้องฟิม ผู้น่ารักก็เริ่มกระทำบางอย่างในรูปแบบที่ถูกเรียกจากคนทั่วไปว่า "กวนตีน" ด้วยการพูดจา กวนตีน วกไปวนมา ราวกับน้องเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม โดยที่น้องเขาน่าจะมีอายุประมาณ "สิปฟ่า" ปีเท่านั้นเองครับ


ผมเองก็คนครับ ทนไม่ไหวผมเลยสวนกลับไปว่า "ไอฟิม มรึงพูดเหมือนมรึงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพี่หยั่งงั้นเลยนะเว้ย?"


ไอฟิมมันสวนกลับมาว่า "เออ ใช่ ผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับโกบอล" พลางยกมือของมัน บรรจงจับหัวผม (จริงๆแล้วคือมันตบแบบช้า) และก็หันไปได่ชื่อพ่อน้องผม โดยที่คงจะลืมว่าชื่อพ่อน้องผมก็เป็นชื่อเดียวกับพ่อผม


เท่านั้นแหล่ะครับ ผมบรรจงเอามือของผม "บีบคอ" ของน้องเขา แบบ "เอาตาย" ก่อนที่วินาทีต่อมาผมจะปล่อยมือออกจากคอและพูดว่า "มรึงหยุดเลยนะไอฟิม พอกรูเล่นด้วยแล้วมรึงเหลิง ไปไกลกรูเลยไป"


ครับเท่านั้นจริงๆครับ


ต่อจากนั้นน้องเขาก็ไม่เคยมายุ่งผมอีกเลยจนกระทั่งวันนึงที่ ผมเข้าร้านเน็ตฯร้านเดิม และเจอกับ น้องฟิม ซึ่งตอนนี้เลื่อนยศมาเป็น "ไอฟิม" เรียบร้อย อยู่พร้อมกับพี่สาวของมันอายุน่าจะ 17-18ปี ซึ่งบอกได่คำเดียวว่า "เสียวโว้ย"


ว่าแล้วสงสัย ไอฟิม คงจะนึกว่า พี่มันอยู่ด้วยเลยเข้ามากวนตีนผมอีกรอบ โดยหารู้ไม่ว่า ผมไม่ได้กลัวพี่สวยสุกเสียวของมันเลยสักนิด ก่อนผมจะตะคอกกลับไปว่า "หนที่แล้วมรึงยังไม่จำใช่มั๊ยไอฟิม คราวนี้มรึงกวนตีนกรู มรึงเจ็บกว่าคราวก่อนแน่"


ว่าแล้วพี่สาวเสียวโว้ยก็ทำตัวเหยี่ยวข่าวคาบเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง (และคงจะใส่ไฟอีกสักเล็กน้อย)


ว่าแล้ววันต่อมา ก็เลยเกิดเหตการณ์ "บอสบุก" เลยครับ บุกถึงที่ แม่ไอฟิม มายืนด่าผมที่ร้านเน็ตฯ ทำท่าเอาจริงเอาจัง จะกินตับผมเสียให้ได้


โครตกลัวเลยครับขอบอก โครตกลัวจริง


ผมเองก็ไม่ได้ฟังว่า เขาด่าอะไรมั้ง แต่ผมสวนกลับไปว่า "คุณดูลูกคุณก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาว่าคนอื่น" เพราะผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตไปทะเลาะกับเด็กไม่มีสัมมาคารวะอย่างนั้นหรอกครับ


แต่ทางกลับกัน ผมก็เป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็มีขีดจำกัดความโมโหอยู่เหมือนกัน


และพอดีกับอัตราความ "กวนตีน" ของน้องฟิม ผู้น่ารักน่ากระทืบ ดันมีมากเกินกว่าวุฒิภาวะ ของผมจะรับได้มันคงไม่ผิดเลยหากผมจะกระทืบเด็กคนนี้เละคาตีน เพราะถึงน้องเขาจะเด็ก แต่เราคงเอามาอ้างไม่ได้ว่ายังเด็ก ความกวนตีน ของน้องเขามากเกินจะรัได้จริงๆครับ (แถวบ้านผมเขาพูดแบบนั้นกันทุกคน)


เด็กวันนี้คืออนาคตในวันข้างหน้า ผมอยากหัวเราะเหลือเกินครับ เหวเราะเป็นภาษากวางเจา


ว่าแล้วทำไมประเทศไทยมันถึงแย่ลงแย่ลง ทั้งๆที่เด็กบางคนเรียนเก่งเหลือเกิน เพราะมีเยาวชนผู้น่ารักน่ากระทืบ อย่างนี้อยู่ในสังคมไทยซธเป็นส่วนมากไงครับ มันเลยไม่ได้เรื่องสักที


ผมกลัวเหลือเกินครับ


กลัวว่าน้องเขาคงจะเป็นอนาคตของชาติไม่ได้แน่ๆ


เปล๊า!! ผมไม่ได้หมายความว่าน้องเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนนะครับ


แต่ผมกลัวว่าน้องเขาจะถูกกระทืบตายก่อนที่มันจะได้โตเป็นผู้ใหญ่น่ะสิครับ

อาทิตย์นี้มาว่ากันต่อครับ

  • "ซันเดอร์แลนด์" เอานะ
  • "แบล็คพลู"นอนมาแน่ๆ
  • "เอฟเวอร์ตัน"รสหวาน
  • "แอสตัน วิลล่า"มาแว้วววววว
  • "นิวคาสเซิ่ล"เบิ้ล2ดอก
  • "บาร์ซ่า"น่าลุ้น
  • "ซาราโกซ่า"มาวิน

เท่านี้พอนะครับ ถ้าแม่นก็ตอบแทนไร'ผมหน่อยก็ได้

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ระเบิดลงที่ "สแตมฟอร์ด บรอดด์"



ในที่สุด สนามที่หลายๆทีมหวั่นเกรงเป็นที่สุดในช่วงหลายปีหลังๆมานี้อย่าง "สแตมฟอร์ด บริดด์" ก็เป็นอันหมดมนต์ขลัง เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนสิงโต แล้วล่ะครับ หลังจากความปราชัยในรูปแบบที่เรียกว่า "หมาไม่กัด" ของเชลซีที่มีต่อ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


ก่อนเกมจะแข่งขันสนามแห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสนามที่ ทีมเยือนไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตามจะควักชัยชนะออกไปจากสนามแห่งนี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากบรรลัยกันล์เลยทีเดียวครับ


บางคนคงจะบอกว่า "บังคับให้ตะกวดยักคิ้ว" คงง่ายกว่าเยอะ


เพราะเจ้าของสนามแห่งนี้เป็นถึงเศรษฐีแห่งกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ และยังครองความยิ่งใหญ่เทียบเคียง แมนฯ ยูฯ ในช่วง5-6 ปีหลังสุดอีกต่างหาก


เรียกได้ว่าทั้ง บรรยากาศในสนาม และเจ้าของสนามต่างอยู่ในสถานะ "เจ้าพ่อ" ทั้งคู่


แต่เหตผลกลใด ไฉนเลย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงเกิดเหตการณ์ "แมวกินเสือ" ขึ้นมาได้มิทราบ


ก่อนลงสนามเกมนี้ ต้องบอกว่า สถิติของ เชลซี ข่ม ซันเดอร์แลนด์มาก ถึงผมเองจะไม่รู้แน่ชัด แต่พิจารณาของฟอร์มทั้งอดีตและปัจจุบัน บอกตามตรงครับว่า ซันเดอร์แลนด์คงไม่แตกต่างจาก "ศพ" ทันทีที่เสียงนกหวีดเกมนัดนี้สิ้นสุด


ว่าแล้ว เชลซีก็ขนตัวจริงลงสนามอย่างครบครัน ขาดไปเพียง "มิสเตอร์ จอท์น น้ำกระฉอก เทอร์รี่" กับ "มิสเชล ควายถึก เอสเซียง" เท่านั้นครับ แต่ถึงแม่ว่าจะขาดผู้เล่นระดับเสาค้ำบ้านไป 2 คน ก็คงไม่กระทบอะไรมากมาย ในเมื่อผู้มาเยือนมานานว่า "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์


บรรดา "กูรู" และ "กูอยากรู้" ต่างลงความเห็นว่า แมวดำ ตายแน่ๆ


ครับ พอเริ่มเกมมา ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิด เชลซีเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า ผู้เล่นดีกว่า ทุกอย่างดีกว่า แต่กลับขาดอะไรบางอย่างที่คนแถวนี้เรียกว่า "การสร้างสรรค์เกม"


เชลซีเล่นเหมือนนึกอะไรไม่ออก รูปแบบการเล่นไม่ชัวร์เหมือนเมื่อก่อนเจาะยังไง ฝ่ายตั้งรับก็จับกินได้หมดและที่ สำคัญ "ไอ้หมาบ้า" ดิดิเย่ร์ ดร็อคบา ดันเล่นนัดนี้ไม่ออกอีกต่างหากครับ


ว่าแล้วก็เหมือนกับว่า UFO ลัหพาตัวกองหน้าพันธุ์ข้าวเหนียว(ดำ)ผู้นี้ไปจากสนาม อย่าลืมนะครับว่า ดร็อคบา เพิ่มหายจาก "ไข้มาเลเซีย" เอ้ย!! "มาเลเรีย" จึงอาจจะเป็นเหตผลที่ทำให้กองหน้า "ถึก ควาย ทุย" ผู้นี้เล่นไม่ออก


แน่นอนการที่ตัดดร็อคบาออกจากเกมได้ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นั่นก็หมายความว่า เชลซี หมดพิษสงไปเกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว


เรียกได้ว่า ราวกับสิงโตเขี้ยวกุดไป 1 ข้างเลยทีเดียวเชียว


พอเจาะเขาไม่เข้า ก็เริ่มกดดันตัว ว่าแล้วก็ต้องชม ซันเดอร์แลนด์เช่นกันที่ พอมีโอกาส ก็ไม่ปล่อยให้มันลอยหายไปเหมือนการ "ผายลม"


ครึ่งแรก สิงโต โดนไป 1 ดอก ก่อนจะมารับ อีก 2ดอก ในครึ่งหลัง สรุป เชลซี แพ้ ซันเดอร์แลนด์ ไป 0-3


ฮ่าฮ่าฮ่า บอกตามตรงครับ เด็กผีอย่างผม รู้สึกสะใจยิ่งกว่าการที่ แมนฯ ยูฯ ชนะเชวซีเองซะอีก


เพราะ แมนฯ ยูฯ กับเชบซี เป็นทีมในระดับเดียวกัน แต่กับทีมที่วรรณะ ต่างชั้นกว่าอย่าง ซันเดอร์แลนด์ สำหรับเชลซีมันคงไม่ต่างอะไรกับ "เสียหมา" เลยครับ


จากการแพ้นัดนี้ของเชลซี ทำใหพกวเขาแพ้ไป แล้ว 3 นัด ทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาลด้วยซ้ำ


แหมอยากจะบอกเหลือเกินครับว่า จากสถิติที่ผ่านมา ทีมที่จะเป็นแชมป์โดยส่วนมากจะเป็นทีมที่ แพ้น้อยที่สุดนะครับ


แมนฯ ยูฯ ในฤดูกาลนี้ถึงจะยังไม่ แพ้ใคร แต่กลับเสมอซะมาก แต่ก็นั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยผมก็ยังได้โม้ว่า "ทีมกูยังไม่แพ้ใครนะเว้ย"


เรื่องแชมป์ค่อยไปว่ากันตอนปิดฤดูกาล แต่ตอนนี้ อย่างน้อยก็รู้อะไรได้อย่างหนึ่งล่ะครับ


"สแตมฟอร์ด บริดด์" คงไม่ขลังอย่างเดิมแล้ว




























เนื่องจากว่า มีคนบอกผมว่า "ถึงมึงไม่แทงบอล มึงก็ให้เค้าหน่อยเป็นไง บล็อคมึงจะได้มีคนมาดูมากๆ (ถ้ามึงแม่นน่ะนะ)" ว่าแล้วผมก็เลย "จัดไปอย่าให้เสีย"



  • "ฝรั่งเศษ" กินนิ่ม

  • "โปตุเกส" น่าลุ้น

  • "ฮอลแลนด์" เด็ดดวง

  • "กรีซ" เอานะ

  • "โครเอเชีย" จัดไป

  • "ฟินด์แลนด์" เชื่อกูเหอะ

เท่านี้ก่อนนะครับ พอได้ลุ้นกันนะครับ ผมว่า (ผมไม่สนับสนุนให้เล่นพนันกันนะครับ)

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สวัสดี ภูเก็ต

ห่างหายไปนานครับจากการทำบล็อค จากปกติที่ไม่ค่อยได้ทำอยู่แล้ว กลับไมได้ทำ(อัพเดท)เลย เหตเพราะว่า ผมมีอันต้องย๊ายที่ทำงานใหม่ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่าเดิม และมันคงทำให้ผมมีเวลา อัพเดทบล็อคมากขึ้น
ตอนนี้ผมอยู่ภูเก็ต ซึ่งขณะที่พิมพ์บทคามนี้อยู่ ผมกำลังจะได้ทำงานที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่ง(หวังว่า)คงดีกว่าที่ทำงานเก่า
ไม่รู้ล่ะครับ อนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และมนอาจจะเกิดได้ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย 1-2สัปด่าห์ก่อนแฟนผมยังจะบอกเลิกผมอยู่เลยครับ มาตอนนี้ กลับมาหวานกันอีกครั้ง เฮ้อ... อะไรก็ไม่รู้นะคนเรา
นี่แหล่ะครับ "ควายไม่แน่นอนคือควายไม่แน่นอน"
จะว่าไปแล้ว ผมเองก็เหมือนนักฟุตบอลเหมือนกันนะครับ มีการย๊ายสโมสร ผมเองก็มีการย๊ายที่ทำงาน แถมยังบ่อยอีกด้วย
ถ้าเป็นนักเตะคงเรียกได้ว่า "นักเตะจอมเพนจร"
ถามว่าทำไมนักเตะต้องย๊ายทีมกัน เออ..อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ แต่เหตผลที่ผมย๊ายที่ทำงานมีเพียงเหตผลเดียวครับ
ความก้าวหน้าของตัวเอง คนเราคงไม่อยากจมปลักอยู่กับที่หรอกครับ จริงมั๊ย? ยิ่งถ้าที่ที่อยู่อยู่นั้นทำท่าจะไม่มีอนาคตกับตัวเอง สู้ย๊ายมันเลยดีกว่า ใครจะว่าอะไรช่างมันครับ เอาความสบายใจของตัวเองและคนสำคัญของตัวเองไว้ก่อน ที่เหลือคงไม่ต้องไปแคร์เท่าไหร่ เรียกว่าถ้าตัดสินใจแล้วมันดีกับตัวเองก็ทำเลย
แต่ไม่ใช่ว่าย๊ายแล้วมันจะมีแต่ได้กับได้นะครับ บางทีเราก็ต้องเสียอะไรบางอย่างไปเหมือนกัน อย่างเช่นถ้าใครทำงานที่เก่ามานานแล้ว พอย๊ายไปทำงานใหม่ คงต้องปรับตัวปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ถึงจะได้ทำอาชีพเดิมอยู่ก็เถอะครับ
ถ้าไม่กล้าตัดสินใจ การเปลี่ยนแลงก็ไม่เกิด ตัดสินใจ แล้ว ลงมือทำ มันจึงจะเปลี่ยนแปลง จะเป็นทางดีหรือไม่นั้น อย่างน้อยเราก็เป็นคนเลือกเอง จริงมั๊ยครับ?
ว่าแล้วผมนึกถึงคำพูดของ "คริสเตียนโน่ กระเดือกโต โรนัลโด้" ตอนที่ย๊ายไป รีล มาดริดขึ้นมาเลยครับ
เขาพูดว่า "ที่นี่คือความฝันของผม"
ผมเองก็หวังว่คงจะได้ใช้คำพูดประโยคนั้นกับที่นี่เหมือนกันนะครับ
"ที่นี่คือความฝันของผม" แต่มีอีกประโยคที่ โรนัลโด้ ไม่ได้พูดแต่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ และผมจะพูดแทนเขาเองครับ
"ผมเชื่อว่าผมจะประสบความสำเร็จที่นี่ และผมจะต้องทำได้"

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิ้วมือเป็นปากกา และน้ำหมึกคือน้ำตาที่ไหลออกจากหัวใจ "ขอโอกาสเราอีกครั้งนะครับ"

แปลกนะครับคนเรา นึกจะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนกันง่ายๆ แต่บางอย่างอยากจะเปลี่ยนแต่กลับเปลี่ยนมันไม่ได้เลย แถมบางทีเปลี่ยนแบบกระทันหันในแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ถ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี มันก็ดีไป แต่ถ้าเปลี่ยนไปในทางไม่ดี คนที่ถูกแบบหลังนี่ก็หนักหน่อย ปรับตัวยากแน่นอน
ผมคนนึงครับ อะไรจะเปลี่ยนก็เปลยี่นได้ง่ายๆ แฟนผม เธอมีเรื่องกับคนตำแหน่งใหญ่กว่าในที่ทำงาน (ผมกับแฟนทำงานที่เดียวกันครับ) ทะเลาะกันเสร็จวันต่อมา แฟนผมหยุดงานซะอย่างงั้น และก็บอกผมว่าอยากจะกลับบ้านที่อยู่ต่างจังหวัด ผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ แต่ในวันที่แฟนผมหยุดนั้น เธอก็ไปชื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อที่จะกลับบ้านในวันต่อมาทันที สรุป เธอใช้เวลาเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจและกระทำ เป็นเวลา 3 วัน
ผลกรรมที่ตามมาคือ "ผม" ครับ งานที่ผมทำ ถึงงานมันจะไม่ดี และก็เหนื่อย แต่ผมให้สัญญากับแฟนว่า ทำงานไปถึงต้นปีหน้า ผมจะพาแฟนกลับบ้าน พร้อมกับเงินสักก้อน ซึ่งผมมั่นใจว่าผมต้องเก็บได้แน่ และกลับไปตั้งตัวกันที่บ้าน แต่นี่ยังไม่ทันต้นปี แผนต้องเปลี่ยน แฟนผมกลับบ้าน ผมพอแฟนมีเรื่องกับที่ทำงาน ผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ ต้องเลือกแฟนไว้ก่อนสิครับ ก็แฟนเราทั้งคน
แฟนผมกลับบ้านแฟน ผมก็เลยตัดสินใจกลับ้บ้านของผม ซึ่งอยู่คนละจังหวัดครับ เรื่องมาเกิดตอนนี้อีก 1 ดอกครับ แฟนผมทำท่าไม่พอใจ และบอกว่า คบกับผม มา 4-5 ปีกลับไม่มีอะไรเลย เงินเก็บก็ไม่มี สมบัติ ที่ดิน ก็ไม่มี ราวกลับว่า คบกับผมแล้วเธอจะชิปหาย ซะอย่างงั้น!!!
เธอบอกว่าคนเกิดปีเดียวกัน อยู่กินกันลำบาก...
ผมไม่เข้าใจครับ...ใช่ผมยอมรับโดยสดุดีว่าผมจนจริงๆ จนถึงขนาดทุกวันนี้ผมไม่มีที่ดินที่จะฝังศพตัวเอง แต่ทำไมล่ะครับ ในนเมือเราสารามถหาใหม่กันได้ ถ้าตอนนี้แฟน กับ ผมยังทำงานที่เดิม ถึงมันจะเหนือยหน่อย แต่ พอถึงปีหน้าผมมั่นใจครับว่า ผมมีเงินให้แฟนผมถือแน่นอนอย่างน้อยก็ 20,000 บาท ทั้งที่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่แฟนผมดันมาออกจากงานก่อน (แต่เธอก็ถูกหัวหน้าว่าจนเกินไปจริงๆน่ะแหล่ะครับ ซึ่งตอนหลัง หัวหน้าก็กลับมาพูดคล้ายกับจะขอโทษกับแฟนผม)
ครับแฟนผมเหนื่อย แต่แค่บอกผมสักคำ ผมจะไม่ให้เธอเหนื่อยเลยสักนิดครับ ผมจะทำงานหาเลี้ยงตัวเอง และตัวของแฟนผมเอง เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าเธอจะมาปล่อยผมให้ กระโดดลงกลางทะเล และอ้างว้างโดดเดี่ยวคนเดียวผมว่ามันคงเกินไปนะครับ ผมตลอดเวลาผมไม่เคยคิดจะรังเกียจแฟนผมคนนี้เลย เพราะทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่คบกันตอนแรกถึง 2ปี กว่าแฟนผมเธอใช้แต่เงินทางบ้านของผม โดยที่ทางบ้านของเธอไม่เคยออกสักบาท
มาถึงตอนนี้ บ้านผมเจอเคราะห์กรรม แฟนผมทำท่าว่า รักในความอิสระ ออกมาบอกว่า "ถ้าเราไม่มีเงินเก็บเลยก็แยกกันด้วยดี" "คนเกิดปีเดียวกัน คบกันไม่ยืด คบกันไม่ขึ้น" อยากจะให้เวลาตัวเอง" หลายๆเหตผลมันทำให้ผมน้ำตาไหลแบบไม่อายใครเลย
ทำมไมอ่ก่อนไม่เป็นแบบนี้ แต่ทำไมพอตอนนี้ กำลังบาก ถึงมาทำกันแบบนี้
จริงๆแล้วเรื่องนี้มันยังไม่เกิดขึ้นหรอกครับ แต่ผมฟังจากคำพูดของแฟนผมแล้ว ผมน้ำตาจะไหลยังไงไม่รู้ครับ
ผมถามแฟนว่า "นี่ ตัวเองจะกลับมาหาเราอีกมั๊ย?"
"เรายังไงก็ได้" นี่คือคำตอบของแฟนผม
วันก่อนผมถามว่า "ตัวเองโทรฯหาแม่มั้งมั๊ย?"
"เราโทรฯหาแล้ว แม่เราบอกว่า คบกับพัท ทำไมไม่ได้อะไรเลย ทำไมถึงอยู่กันไม่มีอะไรเก็บเลย ทำไมเพื่อนคนู้นคนนี้ถึงมีกันแล้ว ถึงรวยกันแล้ว ซึ่งเราก็คิดว่ามันจริง เรา 2 คนอยู่ด้วยกันมา 4-5 ปีทำไมมันไม่มีอะไรเลย ตอนนี้เรากำลังพิจารณาคำพูดของแม่เราอยู่ ตัวเองว่าเราคิดถูกมั๊ย?"
ใช่ครับ ที่แฟนผมพูดมันก็ไม่ผิด แต่ ผมอยากจะบอกว่า ทำไมไม่คิดถึงตอนที่มีความสุขด้วยกัน ถึงมันจะไม่มากเหมือนคนรวยคนอื่นๆเขาก็เถอะ ทำไมถึงไม่คิดถึงตอนที่ผมยามอดข้าวอดน้ำ ประหยัดทุกอย่างเพื่อซื้อของต่างๆที่เธออยากได้ให้เธอ
ทำไมไม่คิดถึงตอนที่ผม เคยออกจากหอเพื่อนของผมเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ (จริงๆแล้วหากเห็นหน้าเธอด้วย) จนทำให้ผมต้องนอนข้างถนน
ทำไมไม่คิดถึงตอนที่เธอจะฆ่าตัวตาย และผมเป็นคนแรกที่เข้าไปหาเธอ ปลอบเธอตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับฟังและอยู่เคียงข้างเธอโดยที่ผมไม่เคยคิดจะรำคาญ และมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
ทำมไม่คิดถึงตอนที่ผมส่งเงินส่งของให้แม่เธอตามที่เธอขอมา โดยที่ผมอาจจะหงุดหงิดมั้ง แต่ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากให้ แต่ผมอยากให้เรา 2 คนตั้งตัวได้ก่อนแล้วจึงค่อยส่งให้พ่อแม่ของพวกเรา
สิง่ที่ผมทำมาทั้งหมด หากเธอลำบาก ผมขอโทษ ในขณะที่ผมนั่งเขียน (พิมพ์) อยู่นี้ น้ำอุ่นๆจากตาผมมันเริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมทำผิด หรือว่าอะไร ผมพร้อมแก้ไข ขอเพียงเธอบอกมา ผมพร้อมจะยอมทำทุกอย่าง ขอแค่เพียงเธอไม่จากผมไป....
ข้างนอกเธอจะได้เจอคนรวยและฐานะดีกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน แต่ถ้าเธอจะหาคนที่รักเธอ ในแบบที่ว่า ยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ ชีวิตนี้ก็ยอมสละให้เธอได้ นอกจากพ่อแม่ของเธอแล้ว ผมกล้ายืนยันเลยว่ามีเพียงผมคนเดียวในจักรวาลนี้
แฟนผมบอกว่า ให้โอกาสผมอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาผมให้ไม่หยุดเพราะความดีใจ และตั้งแต่นั้นมาผมยอมให้ตัวเองอดเพื่อพิสูจณ์ว่าผมจะไม่ให้เธอลำบอกอีกแล้วตลอดชีวิตนี้ (แต่ความจริง คนเราทุกคนมันก็ต้องมีขึ้นมีลงอยู่แล้ว)
สำหรับผมแล้วเธอเป็นมากยิ่งกว่าชีวิต เธอยืนอยู่ในระดับเดียวกับ พ่อและ แม่ ของผม เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ผมกล้าพูดแบบไม่อายปากเลยว่า เธอลำบากมาด้วยกันกับผม (ตอนอยู่กับพ่อ แม่ ผมยังมีเงินอยู๋ แต่ตอนเริ่มคบและอยู่กับเธอ พ่อแม่ ผมเริ่มที่จะ จนลง เลยทำให้ผมกับเธอลำบากมาด้วยกัน)
ถ้าถามว่าผมยอมตายเพื่อเธอได้รึเปล่า? คำตอบคือ "ได้" และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ และตลอดไป
ผมขอถามคำถามเธอคำถามเดียวว่า "ตัวเองจะอยู่กลับเราตลอดไปได้รึเปล่า?"
และผมเชื่อเหลือเกินครับว่า คำตอบขอแฟนผมก็คือ "ได้"
ครับ ตอนนี้เธออาจจะรักในความอิสระที่เธอ ได้อยู่ตัวคนเดียว ได้อยู่กับเพื่อนๆ และได้อยู่ไกลจากผม มันอาจจะทำให้เธอหลงผิดไปบ้าง แต่ไม่ว่ายังไง ผมยังรักเธอเสมอ และถ้าเธอกลับมาชายคนนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
....
....
คำที่ผมอยากจะบอกมีเพียงคำเดียวครับ
...
...
"ให้โอกาสบอล อีกครั้งนะครับ ต่าย"

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฟุตบอล สอนความรัก

เมื่อไม่นานเพื่อนผมคนนึง (ขออณุญาติสงวนนาน) มันเพิ่งอกหักจากเมียรัก ด้วยข้อหา "กวนส้นตีน"


คือเมียมันมาบอกเลิกและก็ให้เหตผลว่า "คุณกวนส้นตีลลส์มากไปนะคะ" แค่เนี้ย!?!


ฮ่าฮ่าฮ่า ขออณุญาติ หัวเราะในความงี่เง่าของ ผู้หญิง ที่รักในความสุภาพ ชนิดที่ยอมให้ความกวนส้นตีนของสามีอันเป็นที่รักมาบอกอำลาชีวิตรักที่ยาวนาน (มันบอกผมว่าคบกันมา 2 ปี)


คือ เพื่อนผมอาจจะกวนตีนมากไปหน่อยก็จริง แต่ คราวหน้า กรุณาหาเหตผลที่มัน ดูดีกว่านี้หน่อยดีกว่านะครับคุณเธอว์


หรือบอกเลิกกันตอนที่คบกันมาได้สักเดือน - 2เดือน ดีกว่านะครับ นี่ อะไร นอนเล่น "ปลอกกล้วยเข้าปาก" กับเพื่อนผมมาตั้ง 2 ปี เพิ่งบอกเลิก!!! ฮาครับฮา


สุดท้าย...เพื่อนผมคนนี้ร้องไห้ ฟูมฟาย ราวกับญาติเสีย ก่อนจะตะโกนบอกฟ้าว่า "ไอ้เชี่ย กรูทำผิด แมร่ง อารายว้า!!!!!!!!!"


มันบอกว่า ฟ้าช่างเล่นตลกกับมันเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้หักมุมแบบ "เหลือเชื่อ" เช่นนี้


แบบนี้ตรงกับวลี Classic วลี หนึ่งนะครับ คือ


"ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน"


เหมือนกันเลยครับ กับฟุตบอล ลูกบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ความห่าเหวของโลกใบนี้มีอยู่จริง และมันก็ซึมเข้าไปอยู่ในทุกอณู ของ ทุกสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้แต่กีฬา ที่มีคนดูกันทั้งโลกอย่าง ฟุตบอล


ทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนโลก และ โลกลูกหนัง


ทีมใหญ่แพ้ทีมเล็ก นักเตะตบกรรมการ กรรมการตบนักเตะ กรรมการใช้วิชาตัวเบาวิ่งทะลุกระจก คนวิ่งแก้ผ้ากลางสนาม หรือแม้แต่นักเตะปวดขี้ระหว่างแข่ง ผมยังเคยเห็นมาเลยครับ


ตัวอย่างเช่น ในปี 1998-1999 แมนฯยูฯ ประกาศความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ในปีนั้นมาครองได้สำเร็จ สร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกทีมใน พรีเมียร์ลีกเป็น อย่างมาก แต่ชิปหาย!!! สิ้นฤดูกาล เอริก คันโตน่า ตำนานแมนฯยูฯกลับประกาศแขวนรองเท้าสร้างความงงงวยให้ผู้คนเป็นอย่างมาก ทั้งที่ฤดูกาลต่อมาเขาอาจจะได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานประวัติศาสตร์ หากร่วมกันโขยกถ้วย URL บนโพเดี้ยมฉลองแชมป์ แมร่งเสือกประกาศแขวนเกือกซะงั้น เด็กผีทุกหมู่เหล่าต่างออกอาการ "เดี๊ยนรับไม่ดร้าย~~~~" กันเป็นแถบๆ
ฮ่าฮ่าฮ่า แถวบ้านผมบางคนเขาเรียก "งงแด๊กส์" ครับ หรือให้หนักกว่านั้นเขาจะเรียกว่า "กวนส้นตีน"
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ มีทีมๆหนึ่งที่ดันแพ้น้อยกว่า และ ยิงประตูทีมดาร์บี้ เคาน์ตี้ ทีมที่สร้างประวัติศาสตร์แห้งวงการฟุตบอล(ในด้านห่วยๆ)ได้มากกว่าทีมแชมป์ แต่พลันพอสิ้นลมหายใจของฤดูกาล กลับไม่ได้แชมป์ พร้อมกับการมาของอาการ "หนวดรับไม่ดร้าย~~~~" ทั้งที่ไม่เคยคิดจะมองดูตารางการแข่งขัน บางคนยังบอกว่านี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยคร้าบ~~~~
ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้จะอะไรนักหนา
จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวอย่างเลยครับ แต่ผมขี้เกียจยกมากล่าว เพราะจำไม่ได้แล้ว
แต่ที่สังเกตได้อย่างหนึ่งคือ เรื่องเหลือเชื่อต่างๆไม่ว่าจะของวงการไหนก็ตาม ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากต่างหากล่ะครับ พอมันเกิดขึ้นพวกเราโดยส่วนมากจะอึกทึกคิดเป็นตุเป็นตะว่ามัน "เหลือเชื่อ" "เป็นไปไม่ได้" ไปเองมากกว่า
ทั้งๆที่หากมามองดีๆแล้วทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้
อยู่ที่ว่าคุณจะมองอย่างไร ต่างหากล่ะครับ
ทุกวันนี้ แมนฯยูฯ หลุดฟอร์มเล่นห่วยแตก หมาไม่กัด เสมอแม้แต่ทีมที่ไม่น่าจะเสมอ และเสมอในแบบที่เหลือเชื่อสุดๆมา 4-5 นัดติด ผมเห็นว่าผมยังไม่เป็นไรเลยนี่ครับ ผมยัง "กินดี ขี้ออกได้" เหมือนเดิม
ครับ...เหรียญมี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะมองด้านไหน
อยากให้เพื่อนผมลองคิดดูนะครับว่า ตอนนี้ คุณ "เสียความรักไป" หรือ คุณ "ได้ความอิสระ" กลับคืนมา
.....
.....
.....
.....
เอ่อ จะว่าไป ตอนนี้มีทีม ทีมนึงซึ่งเป็นทีมประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดพอกันกับ แมนฯยูฯ กำลังลุ้นหนีตกชั้นอยู่ท้ายตาราง
เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ ไม่แน่นะครับ อาจจะเกิดขึ้นจริงๆก็ได้
เหอ เหอ เหอ







วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บรรลัยไปเลยนะครับ สำหรับเรื่องราวของน้อง "หมูฉึกฉึก" เวย์น รูนี่ย์ ด้วยเหตที่ข่าวล่ามาไวบอกว่าคุณน้องแกจะย๊ายไปอยู่กับสำเภาสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้



ล่าสุดหนังสือพิมฟุตบอลรายวันอันดับ 1 ของบ้านเราอย่าง สตาร์ ซ็อคเกอร์ ลงรายงานว่าออกมาแฉแต่เช้า (โดยอ้างอิงมาจาก เดอะ ซัน อีกที) โดยแหล่งข่าวแดนผู้ดีบอกว่า "ไอ้ชิปหาย ตึงเครียดเหรอ มันน้อยไป มันต้องบอกว่าตึงเครียดโครตๆต่างหากล่ะครับคู้ณ!!! ถึงจะถูก ไอ้น้องหมูไม่คุยกันกับป๋ามาเป็นเดือนแล้วคร้าบบบ พี่น้อง แถมยังไม่ไยดีกับน้องหมู ทำราวกันอย่างนี้จะให้ทนยังไงดร้ายยย อย่างงี้น้องหมูก็อยากย๊ายซิคร้าบบบบบบบบบ"


"ปากบอกว่าไม่ขายเหรอคร้าบบบ เป็นไปไม่ดร้ายยย ตอนนียังขายไม่ได้ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป น้องหมูต้องย๊ายแน่นอล ฟันธงเลย"


"แถมไม่แน่นะครับ น้องหมูอาจจะย๊ายไปเอาเงินเช้ดตูดแทนกระดาษชำระที่ แมนฯ ซิตี้ก็ดร้ายยยย ครายจะรู้"


อ่านข่าวนี้ตอนแรกบอกได้คำเดียวครับ "ไอห่า!!! มึงคิดได้ไงครับเนี่ย"


ตลกครับขอบอก เพราะการที่ แมนฯยูฯจะยอมขายนักเตะผู้มีพลังจักรหมูฉึกฉึกให้กับศตรู ผู้ที่เป็นเหมือนเบี้ยล่างของตนเองมาตลอดมันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างรุนแรง


และถ้า ซิตี้ จากฟ่อนธนบัตร ของท่าน ชีค มันซูร์ มาติดต่อขอเป็นชู้กับน้องหมูเวย์น และหมูเวย์นดันทะลึ่งย๊ายจริงๆ มันคงเป็นการทำร้ายจิตใจแฟน แมนฯยูฯ กันเกินไป ไม่ต่างจาก "อมขี้หมามาพ่นใส่หน้า"


บอกตรงๆครับผมว่ามันเกิดขึ้นยาก


แต่ถ้าหากย้อนกลับไปเมือไม่กี่ปีก่อน เหตการอย่างงี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับนักเตะนาน คาร์ลอส หอกหัก เตเวซ


ครับนักเตะผู้นี้ย๊ายเครื่องทรงจากศีแดงไปเป็นสีฟ้า พลางออกมาป้วนลมในสำเนียงอาร์เจนไตน์ ว่าถูกหมางเมินจากป๋า ผู้ซึ่งเขานับถือเป็นพ่อคนที่ 2 และเป็นเหตผลให้เขาต้องย๊ายมาร่วมชายคา มหาเศษรฐี ชีค

และหลังจากนั้นยังออกมาเขวี้ยงขี้ใส่กันไปกันมาอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่จะมองหน้ากันไม่ติด ไปตลอดชาติ


ครับกรณีของ เตเวซอาจจะแตกต่างเพราะตอนนั้นเขาเป็นนักเตะหมดสัญญา สามารถย๊ายแบบอิสระ และที่สำคัญ เขายังไม่ใช่คนเมืองผู้ดี ที่ยึดติดกับประวิติศาษตร์และประเพณีอันเก่าแก่ของทีมฟุตบอล ดังนั้น เขา(มัน)จึงย๊ายและไปยืนส่ายตูดอยู่ที่ แมนฯซิตี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน


แต่ลองคิดดูนะครับ "ควายแน่นอนคือควายไม่แน่นอน"


ถ้าลองให้รูนี่ย์ย๊ายจาก สีแดง ไป สีฟ้าขึ้นมาจริงๆล่ะก็อะไรจะเกิดขึ้น


มันคงจะหนักกว่าการที่ เพื่อนสนิท เอากิ่งไม่แห้งมาสะกิดริดสีดวงที่ตูดเป็นแน่แท้


จะว่าไปแล้วคนระดับน้องรูนไม่จำเป็นจะต้องย๊ายไป แมนฯ ซิตี้อย่างเดียวก็ได้นี่ครับ ในเมื่อน้องเขาเป็นนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์พิเศษใส่ไข่ ที่ทีมใหญ่ๆจากทั่วยุโรปพร้อมที่จะรับเซ้งต่อเอาไปยืนทำหน้าหมูในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า
หากลองพิจารณาแล้ว ทีมที่อยากได้ น้องรูนยังมีอยู่อีกเพียบ เมื่อลองกลั่นกรองเฉพาะทีมที่เหมาะสมกับตัวน้องเขา ก็มีทั้ง รีล มาดริด บาเซโลน่า หรือแม้แต่ ทีมสิงโตน้ำเงินครามเชลซี ซึ่งแต่ละทีมที่กล่าวมา เกียร์ติประวัติมีมากกว่า แมนฯซิตี้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นผมจึงเข้าใจ(เอาเอง)เหตุผลที่น้องแกทำตัวน่าถูกกระทืบด้วยการย๊ายชายคาไปยัง ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยมเป็นเพราะว่า ต้องการ "หักหน้า" แล "หน้าเงิน"
อันแรกก่อนเลยนะครับ หักหน้า หรือจะเรียกในแบบร้ายแรงก็คงจะใช้คำว่า "แก้แค้น" ได้เหมือนกัน เพราะรู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าน้องแกเป็นคนที่ ซ่า เดือด และ ระห่ำกระฉูด ทั้งในและนอกสนาม ด้วยเหตนี้จึงถูก ป๋าเฟอร์กี้ ผู้ซึ่งเปรียบได้ดั่งพ่อสั่งสอนอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านๆมา น้องรูนเราไม่กล้าหือ แต่มาหนนี้กับกล้าที่จะลุกขึ้นมาหักหน้าเหี่ยวๆของผู้เป็นป๋าอย่าง เฟอร์กูสัน ด้วยการที่บอกว่า "กรูไม่เคยเจ็บ ที่บอกว่ากรูเจ็บน่ะ โกหกทั้งเพเลยแสด!!!!" ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน ป๋าเพิ่งออกมาบอกว่า น้องรูนเจ็บลงสนามไม่ได้
คำพูดก็เหมือนการสาดน้ำ พูดไปแล้วก็ไม่สามารถเรียกกับคืนมาได้ หลังจากนั้นสถานการณ์ของพ่อ ลูก คู่นี้ก็มีทีท่าในทางที่ ลบลงไปเรื่อยๆ
จนน้อง เวร รูนี่ย์ ออกมาหักหน้าครั้งร้ายแรงด้วยการทำท่าทางอยากจะย๊ายตูดตัวเองไปยัง แมนฯ ซิตี้ พร้อมกับเงินค่าเหนื่อยที่ ระห่ำกระฉูด เหมือนอารมส์ของคุณน้องเขา ซึ่งก็คือ ประมาณ 250,000 ปอนด์!!!
แหม ผมทำงานทั้งชาติ ไม่รู้ว่าจะได้เงินขนาดนั้นมาเชยชมรึเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า
นี่คือเหตุผล 2 ข้อที่ผมเดาเอาเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องเขาอยากย๊ายทีมไป แมนฯ ซิตี้
แหม ทำแบบนี้มันทรมารใจทั้ง เฟอร์กี้และแฟนผีทั่วโลกเลยนะครับ ผมอยากจะมอบรางวัล "ฮวยบ่ข่วย อวอร์ด" ให้น้องหมูเป็นที่ระลึกเหลือเกินครับ (รางวัลนี้มอบให้แก่ผู้ที่ทำความระยำ ได้ในระดับสุดยอดเท่านั้น)
......


แต่ผมมานั่งนึกๆดูนะครับ ถ้ารูนี่ย์ย๊ายขึ้นมาจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าพิจารณาจากฟอร์มล่าสุด บอกได้เลยว่า รูนี่ย์ กำลังอยู่ในช่วงขาลงอีกครั้ง ในเหมือนใจไม่อยากอยู๋ การจะรั้งเอาไว้มีแต่ทำให้เสียความรู้สึกปล่าวๆ แถมถ้ายือ้ไปนานๆ น้องเขาไม่ตอ่สัญญา ถึงตอนนั้นราคาอาจตกเอาก็ได้ อย่าไปเสียดายเลยครับ บางทีนี่อาจจะเป็น เวรกรรม ที่เราเคยไปฉกน้องเขามาจากหัวอกของ ท๊อฟฟี่ เอฟเวอร์ตัน ก็เป็นได้ ถือว่าเราก็ชดใช้กรรมให้เขาไปแล้วกัน
ไปเหอะ! จะไปไหนก็ไปกับเมีย มรึงยังนอกใจได้เลย มันจะเหลือเหรอ? กับอีแค่แฟนบอล และ พ่อ ที่รักและเคารพในตัวของเขา
....
....
....

ซิม...ถุย!!!

เนื่องด้วยว่าเพื่อนผมคนนึงที่ชื่อว่า ซิม มันกำลังจะเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดมันซึ่งก็คือ "พม่า" ตัวผมที่อยากจะให้มันเดินทางอย่างปลอดภัย และ อยากจะทำอะไรให้มันสักหน่อยเพื่อที่จะให้ไอ้ ซิม มันรู้ว่า "เพื่อนกูรักมึงว่ะ" ผมก็เลยขอเขียนบทความให้เพื่อนรักชาวพม่าคนนี้ของผมสักบทความนึงลงบทหน้ากระดาษไฟฟ้า เพื่อแสดงเจตนารมของผมออกมา ผมจึงขออุทิศ(ที่ไม่ไช่ส่วนกุศล) หน้านี้ให้มันแบบเต็มๆ
นาย ซิม คนนี้ มีประวัติโดยคร่าวๆคือ เป็นชาวพม่าเพศผู้ ที่น่าจะมีอายุราวๆ 25-26 ปี ส่วนสูงประมาณ 170 ซม. ผิวขาว ผมสั้น ฟันดำ ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมาไม่ค่อยจะติดตาผมสักเท่าไหร่ แต่จุดเด่นที่สุดที่ผมจดจำมันได้คือ "ความกวนตีน" ครับ
ไอ้ซิมจัดเป็น คนกวนตีน ประเภท หาตัวจับยาก บ้านผมเรียกว่า "กวนตีนชิปหาย" บวกกับด้วยความที่เป็นคนพูดไม่ชัดในแบบฉบับพม่านำเข้า
2 สิ่งมาผนวกกัน ทำให้อัตราความกวนตีนของไอซิมผู้นี้ พุ่งกระฉูด น้ำแตกเลยทีเดียวครับ
เพราะเหตที่ปากมันค่อนข้างวอนหาตีนแบบนี้ เลยทำให้คนรอบข้างที่ทั้งรักทั้งเกลียด ต่างพากันตั้งฉายาให้มันอย่างสนุกรูปาก จนทำให้ไอ้ซิมมีคำเรียกอีกคำอย่างน่ารักน่ากระโดดฉีบว่า "บุรุษพันฉายา"
ฉายาที่ถูกตั้งให้และเป็นที่กล่าวขานของเพื่อนร่วมงานกันบ่อยๆก็มี "ไอ้ทุย" "ทุย ถุ่ย ถุ้ย ทุ้ย ถุย (ทุย ทุ่ย ทุ้ย ทุ๊ย ทุ๋ย)" "กระบือ" และ "ซิมมี่ลากูน" เป็นต้น
แต่ฉายาที่พูดกันติดปาดกและกระชากความอยากกระโดดฉีบหน้าคนจากไอ้ซิมได้มากที่สุดคือ "ซิมถุย"
แหม...ไม่อยากบอกเลยครับ ฉายานี้ ผมเป็นคนตั้งให้มันเองนะครับ ขอบอก แถมผมเองยังไม่ได้ตั้งขึ้นมามั่วๆ แบบนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดนะครับ ต้นเหตมันก็มาจากความกวนตีนของมันเองน่ะแหล่ะครับ จึงทำให้เกิดฉายาขนาดหมายังเมินขึ้นมาผมจะเล่าถึงความกวนตีนและต้นกำเนิดของฉายาไอ้ "ซิมถุย" ผู้นี้ให้ผู้อ่านได้ประจักษ์
เมือ่ประมาณปีก่อน มันเดินเข้ามาหาผมราวพลางทำหน้ามีความสุขราวกับชายผู้สำเร็จความไคร่ด้วยตัวเอง ได้เอ่ยถามคำถามหนึ่งกับผมว่า
"พะ มือ เคอ เหง ควย ส่า น่า มะ? (พัท มึงเคยเห็นควายส่ายหน้ามั๊ย?) "
ผมทำหน้าตาเป็น ง.งู 2 ตัว และครุ่นคิดอยู๋พักนึง ก่อนจะส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบแทนคำว่า "ไม่รู้"
พลัน ไอ้ซิมถุย ซึ่งตอนนั้น ยังมียศแค่ ไอ้ซิม ธรรมดาธรรมดา หัวเราะอย่างถูกใจราวกับพม่าถูกหวยก่อนเฉลยผมว่า
"มือ ขื้อ ห้อง ไป ส่อ กา โจะ แระ ส่า น่า ดู ต่ะ แระ มือ จะ เหง ควย ส่า น่า เอง (มึงขึ้นห้องไปส่องกระจกแล้วส่ายหน้าดูสิ แล้วมึงจะเห็นควายส่ายหน้าเอง)
พลันสิ้นสุดคำพูดของมัน ผมสบถด่ามันด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด และแถมนำเหนียวๆจากภายในลำคอของผม ประทับลงบนหน้ามันว่า
"ซิม...ถุย"

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

แต๊งค์ กิ้ว เบอร์บาตอฟ

แดงเดือดขบวนที่เพิ่งผ่านพ้นไปในวันที่ 19 กรกฎาคม ถือเป็นเกมที่ สนุกสนาน ตื่นเต้ลส์น่าดูมากๆครับ (สำหรับเด็กผี) แถมมันมีเรื่องราวให้พูดถึงอย่างสนุก รู ปากอีกหลายเรื่องต่อหลายเรื่องเชียวนะครับ
แต่วันนี้ขอเถอะครับ ผมไม่อยากเอ่ยถึงเกมนั้นสักเท่าไหร่ (แบบว่า สงสารเด็กหง อ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) จึงอยากจะเอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน
แต่มันก็ยังอยู่แถวๆแดงแดดน่ะแหล่ะครับ
ครับ ผมกำลังจะเขียน ถึงนักเตะ นาม ดิมิทาร์ เบอบาตอฟ


ก่อนจะปิดตลาดซื้อขายนักเตะตอนเดือน สิงหาคม ปี 2008 แมนฯยูฯ ลงทุนทุบกระปุกออมสินที่ นาย เกลเซอร์ ยักยอกเงินจากสโมสรไป เอาเงิน ออกมาประมาณ 30 ล้านปอนด์ เพื่อมา ชื้อ สากกะเบือ 1 ดุ้น นามว่า "ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ"

ในตอนแรกที่มาถึงเขาไม่ได้เป็นสากกะเบือนะครับ เขา เดินเข้ามาในสโมสรเหมือนคนทั่วๆไปน่ะแหล่ะครับ แถมไม่พอ ถูกตั้งความหวังว่าจะเป็น เอริก คันโตน่า คนใหม่ บ้างก็ว่า แมนฯยูฯ ได้ จิ๊กซอร์ ตัวสุดท้าย บ้างก็ว่า รูนี่ย์ กับ เบิร์บจะผนึกกำลังกันทำลายล้างคู่แข่ง แต่ไฉนเลยพอฤดูกาลเริ่มเตะไปได้สักพัก เขากลับกลายเป็นสากกะเบือดุ้นเบ่อเริ่ม เดินในลานจอดหญ้าที่โรงละครแห่งความฝัน

ไม่ทราบว่า เฟอร์กี้อยากจะตำส้มตำให้เมียกินรึเปล่า ถึงเอาใจด้วยการชื้อ สากกะเบือ แพงบรรลัยขนาดนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

อาจเป็นเพราะว่าความหวังที่มีมากเกินกว่าที่คนๆนึงจะรับไหวหรือไงไม่ทราบครับ ทำให้เบิร์บโชว์ฟอร์มเหมือนที่เคยผลิตให้กับสเปอร์ไม่ออกเลย

ตอนแรกๆก็ดีแหล่ะครับ ทำท่าจะปรับตัวได้ ทำท่าจะเล่นดี พอไปๆมาๆสักพัก สากกะเบือเริ่มเข้าสิง เล่นไม่ออกซะงั้น พลาดง่ายๆมั้ง จ่ายบอลเสียมั้ง เลี้ยงลูกขัดใจแม่ยกตลอด และที่สำคัญ แม่งโครตขี้เกียจ ราวกับว่า ฟุตบอลเตะกัน 3 ชั่วโมง ต้องออมแรงไว้วิ่งตอนท้ายๆยังไงยังงั้น

เบ็ดเสร็จฤดูกาลนั้น (ถ้าผมจำไม่พิด) เบิร์บยิงไปทั้งสิ้น 12 ประตู มันจะไม่น่าเกลียจเลยครับ หากมันเกิดกับ กองหน้าที่มีราคาแค่ราว 5-6 ล้านปอนด์ และอยู่ในทีมที่เพื่อนร่วมทีมยังชั้นไม่ถึง แต่นี่ไม่ใช่นะครับ เหตมันบังเกิดกับทีมระดับป๋าอย่าง แมนฯยูฯ แถมนักเตะค่าตัวระดับเหยียบ 30ล้าน ปอนด์

12 ประตู ตลอดทั้งฤดูกาล ในทีมแมนฯยูฯถือว่าสอบตกโดยสิ้นเชิง แบบไม่ต้องมีสอบซ่อมเลยครับ สำหรับกองหน้านักดูด(บุหรี่)คนนี้

ว่าแล้วจากความคาดหวังตอนต้นฤดูกาลกลับกลายเป็นความหดหู่ใจในท้ายฤดูกาลแทน

ช่วงปิดฤดูกาลมีข่าวมากมายเหวือเกินว่า เบิร์บ จะออกจากถิ่นโอลแทรฟฟอร์ด

แม้กระทั่ง โพลสำรวจของสำนักงานและวิจัยจิตรโภชนา ยังออกมาเลยครับว่า เบิร์บ ย๊ายแน่นอน

แฟนผีหลายคนก็ขอให้เป็นเช่นนั้น

แต่เหตอันใดใครจะรู้ได้ ป๋าเฟอร์กี้ ดัน เก็บสากกะเบือนานเบอร์บาตอฟไว้ในถิ่นผี 3 ง่าม ต่อไป ราวไม่สะทกสะท้านต่อเสียงของโพลสำรวจของสำนักงานและวิจัยจีตรโภชนา จนเด็กผีแถวสำนักงานฯหลายคนต่างบ่นกันเป็นเสียงเดียวกันว่า "เก็บไว้ทำเชี่ยอะไรว้า?"

แต่แล้ว ทันทีที่ฤดูกาลใหม่มาถึง เหตผลกลใดไม่ทราบบครับ เบอร์บาตอฟ เล่นราวกับว่า กลับชาติมาเกิดใหม่ด้วยฟอร์มบรรลัยกัลย์ ระดับ 5 ดาว ยิงประตูคู่ยิงเป็นระนาว

3 ลูกในนั้น บังเกิดตอนที่เผชิญหน้ากับคู่แข่งตลอดกาล (ตัวเต็งยูโรป้าฯ ฮ่าฮ่าฮ่า) อย่าง หงษ์แดง ลิเวอร์พูล รู้นะว่านายเจ็บ

โดยเฉพาะ ลูกที่ 2 ที่ยิงได้ ขอบอกว่าสวยงามลากใส้มากจนขนาดเรียกเสียงอุทานฯ "ฮวยบ่ข่วย" จากเด็กหงษ์ เป็นแถวๆ (อนึ่ง "ฮวยบ่ข่วย" หมายถึงขั้นกว่า ของคำว่า "หัวควย" ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกที่ และเป็นคำด่าที่ค่อนข้างจะสุภาพกว่า "หัวควย" มากครับ อันนี้คนเขียน พูดติดปาก เลยเอามาเขียนไว้)

จากสากกะเบือฤดูกาลที่แล้ว ตอนนี้ เบอร์บาตอฟกลายเป็น "สากกะเบือติดปีก" ไม่ว่าตำส้มตำครกไหนก็อร่อยเหาะสำหรับเด็กผี

ว่าแล้วก็ ขอบคุณ ป๋า เป็นอย่างมากนะครับ เป็นอีกครั้งที่ ป๋า มองข้าม ช็อต เก็บเบอร์บาตอฟ ไว้กับทีมต่อไปจนเขาพิสูจน์ให้เห็นถึง เซนส์ ฟุตบอลอันยอดเยี่ยมของเขา แต่ยังเพิ่งดีใจนะครับ ถ้าฟอร์มของเบอร์บาตอฟ เป็นอย่างงี้ตลอดฤดูกาล (และพ่วงฤดูกาลหน้าด้วย) ค่อยดีใจกัน ตอนนี้ผมรู้แต่ว่า ถ้าเราขายเขาไปตอนปิดฤดูกาล ตอนนี้ผีแดงอาจจะแพ้หงษ์แดงไปแล้วก็ได้

ถ้าไม่มีคนๆนี้ที่ได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมทช์ นามว่า

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

11 นางในฝัน

จั่วหัวมาแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายควายว่า 11 นางในฝันเหมือนหนุ่มโสดของใครหลายๆคนนะครับ

แต่ผมกำลังหมายถึง 11 นักเตะแข้งทองในฝันที่คอบอลทุกคนเคยจินตนาการถึง

คอบอลทุกคนต้องเคยใช่มั๊ยล่ะครับ ที่คิดว่า ถ้านักเตะคนนั้นคนนี้มาอยู่ทีมที่เราชอบ หรือจากอีกทีมไปอีกทีม จะให้ทีมๆนั้นกลายเป็น "ดรีมทีม" ไปในทันนี

บ้างก็เล่นในเกม วินนิ่งฯ แล้วคิดว่า ทีมๆนี้มีจริงคิดมามันจะ ไร้เทียมทานขนาดไหนกันน้า?

ผมคนคนนึงครับที่เคยคิดอยากให้ทีมที่ผมชอบ ซื้อนักเตะคนนั้คนนี้มา เพื่อให้ทีมของเราเป็น ดรีมทีม ขึ้นมา

ว่าแล้วขอเริ่มเลยดีกว่านะครับ ว่า 11 นางในฝันของผมมีใครบ้าง








ผู้รักษาประตู:อีเคย์ คาซิยาส


หรืออีกชื่อนึงที่เพื่อนของผมเรียกว่า "หัวเข้ คาซิยาส" ครับเขาคนนี้เป็นผู้รักษาประตูของ รีล มาดริด ยอดทีมจากอดนกระทิงดุ แถมยังมีดีกรีผู้รักษาทวารหนักของทีมชาติสเปนพ่วงท้าย นายทวารหนักคนนี้เรียกว่าสุดยอดเลยครับ ฝีมือดี เซฟได้ทุกรูปแบบ เปิดบอลใช้ได้ เรียกได้ว่า เขามีครบในสิ่งที่ผู้รักษาประตูที่ดีคนหนึ่งควรจะมี ถ้าถามว่า ฝีมือเขาดีขนาดไหน บอกแค่ว่า ในทีมราชันชุดขาว ที่มีนักเตะระดับโลกเดินเข้าเดินออกกันให้ควัก แต่ผมยังไม่เคยเห็นมีใครมาแทนที่ คาซิยาส ได้เลยสักคนเดียวครับ









แบ็คซ้าย:โรแบร์โต้ คาร์ลอส

เขาคือแบ็คซ้ายตีนระเบิดของทีมชาติบราซิล สมัยที่เขายังรุ่งๆ บอกได้คำเดียวครับว่า "แหล่ม" เกมรับแน่น เกมรุกยอด วิ่งขึ้นลงขึ้นลงมันทั้งเกมราวกับคนเพิ่งอัฟกระทิงแดงมา 20 ขวกก็ไม่ปาน แถมทีเด็ดอีกอย่างของคาร์ลอสคือ ลูกฟรีคิกครับ แรงบรรลัย คือคำที่ผมควรจะเอามายกย่องลูกยิงฟรีคิกของเขา เพราะมันพุ่งราวเครื่องบิน F16 เป๊ะเลยครับ แหม นี่ถ้าเขามายิงลูกฟรีคิกในบอล อบต.แถวบ้านเรา ผมไม่รู้ว่าจะมี นายทวารคนไหนกล้ากระโดดพุ่งรับลูกยิงของเขารึเปล่านะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า




กองหลังตัวกลาง:ยาป สตัม
ยาป สตัม ในอีกชื่อหนึ่งที่ไอ้คิม เพื่อนผมเป็นคนตั้งให้ว่า "อยากส้มตำ" (มันบอกว่า เอามาจากเกมวินนิ่ง ฯ4 ในPS1) หมอนี่ OK เลยครับ สูงใหญ่ บึกบึน เหมาะสมกัยการเล่นกองหลัง คอยอัดคอยเตะกับกองหน้าฝ่ายตรงข้ามให้เป็นหน้ากอง เรียกว่า ถึก ควาย ทุย เลยก็ว่าได้ครับ อีกอย่างก็คือ ลูกโหม่ง เยี่ยมอีกต่างหาก แหม สุดยอดไปเลยนะตะเอง








กองหลังตัวกลาง:อเล็กซานโดร เนสต้า


กอลงหลังที่ชื่อดันไปคล้ายกับอาหารธรรยพืชเพื่อสุขภาพอย่าง "เนสวิต้า" เป็นอีกคนที่ สมัยรุ่งๆ และก็เล่นดีมากครับ ทุกอย่างเขาแทบจะเหมือน ยาป สตัม มาก (ในสายตาผมนะ) ตีมีอย่างหนึ่งที่เค้าเหนือกว่า ยารปสตัม หลายขุมนัก นั่นคือ หน้าตาที่หล่อเหลาราวพี่ เคน ธีรเดช ยังไงยังงั้น พอดีเลย เอาไว้หลอกล่อกองหน้าฝ่านตรงข้ามที่ ดันเป็น เกย์ ซะเลย ฮ่าฮ่าฮ่า








แบ็คขวา:เซร์คิโอ รามอส


หมอนี่ ผมชอบเป็นการส่วนตัวมาตั้งนานแล้วล่ะครับ ข้อหา เทคนิค ดีเกินจะเป็นกองหลัง เหตผลแค่นี้ล่ะครับที่ผมเลือกเขาเข้าทีม








ปีกซ้าย:ลิโอเนล เมสซี่


เมสซี่ หรือในอีกชื่อว่า แม้นศรี แหม อย่าถามเหตผลนะครับว่าทำไมถึงเอาเขาเข้าดรีมทีม เพราะเขาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุกในโลก ยุคปัจจุบัน ใครไม่เบือกเขาก็บ้าแล่วครับ พี่น้องคร้าบบบบบ






กองกลางตัวรับ:รอย คีน

นักเตะที่เคยฝาก "รอยตีน" กับใครหลายๆคน เพราะสมัยยังเล่นอยู่ พี่แก เตะแหลกแหกด่านตรวจ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนเลยครับ ไม่ว่า ลูกตำรวจ ลูกนักการเมือง ลูกทหาร ไม่เว้นแม้แต่ ผู้จัดการทีมที่ตัวเองสังกัด แกก็เล่นเขาซะหมด แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะครับ รอย คีน เป็น กองกลางตัวรับที่ผม ชื่นชอบมาก และไม่เคยเห็นใครเล่นเหมือนเขาได้เลยสักคน เก่งขนาดไหนไม่รู แต่เคยมีคนบอกว่า กลางยุค 90- ต้นยุค 2000 เขาคือนักเตะที่ทรงอิทธิพลที่สุด บนเกาะอังกฤษ





กองกลางตัวรุก:พอล สโคลส์



หรือในอีกชื่อว่า โสกโครก (วินนิ่งฯ3 PS1 พากย์ชื่อเขาแบบนี้จริงๆครับ) ตอนแรกลังเลใจมากครับ คิดว่าจะเลือก ซาบี้ เออร์นานเดซ ของ บาเซโลน่า อยู่แล้ว แต่พอเห็นฟอร์ม ไอ้หัวแดงเพลิงคนนี้ในฤดูกาลล่าสุดล่ะก็ บอกเลยครับ ซาบี้ กรุณาหลบไปไกลๆตีนครับ







ปีกขวา:คริสเตียโน่ โรนัลโด้


สุดยอกนักเตะของโลกในยุคปัจจุบัน ที่ยืนในระดับเดียวกับ เมสซี่ ดีไปหมด ทั้งยิง ทั้งเลี้ยง ทั้งจ่าย ลีลาก็แหล่ม ในสายตาผม ความสามารถโดยรวมเขาดีกว่าเมสซี่ ด้วยซ้ำ แต่เพราะเรื่องนอกสนามทำให้เขาถูกพูดถึงในเชิงเสียหายซะเป็นส่วนมาก








กองหน้าตัวต่ำ:ดาวิด บีญ่า



หากจะหากองหน้าหมายเลข 1 ของโลกตอนนี้ ต้องมีชื่อของเขาเป็นลำดับต้นๆแน่นอนอย่างที่สุดถึงที่สุด เพราะ คนๆนี้ครับเรื่องทั้งยิงทั้งจ่าย เอามันหมดเลยครับ ที่สำคัญ เขายังเป็นตัวจัรกสำคัญที่ พาทีมชาติสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกด้วย อย่างงี้ถ้าไม่เลือกเขาเข้าทีม ดรีมทีมคงเป็นดรีมทีมที่ไม่สมบูรณ์






กองหน้าตัวเป้า:รุด ฟาน นิสเตอร์รอย


กองหน้า แก้วหน้าม้าผู้นี้ถือเป็น กองหน้าชั้นดีที่มหลายทีมอยากได้ตัว คือไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับเกมมาก ขอแค่ยิงประตูให้ได้อย่างเดียวเป็นพอ เพราะงั้น ตอนอยู่ แมนฯ ยูฯ ผมจึงเห็นเขาทำแค่ ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง ยิง และก็ ยิง ไม่หยุด เรียกว่า เป็นกองหน้าประเภท ยิงแม่งเลย ของวงการลูกหนังโลบกอีกคนครับ ที่ สำคัญ เขาพิสูจน์ ตัวเองมาหมดแล้วเกือบทุก ลีกฯ ทั้ง ฮอลแลนด์ อังกฤษ สเปน เยอรมัน แบบนี้สิครับ เรียกว่าเก่งจริง



เป็นไงบ้างครับ 11 นางในฝันของผม แหล่ม ใช่ป่ะ? อย่างน้อยผมว่า ถ้ามีทีมอย่างนี้บังเกิดขึ้นมาจริงๆ ต้องเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ ของลีกฯ อย่างแน่นอนครับ


แล้ว 11 นางในฝันของคุณ มีใครบ้าง คอมเมนท์ มาก็ได้ครับ


ผมก็อยากรู้ ว่า ของใครจะ เจ๋ง กว่ากัน































































































วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มนต์สเน่ห์แห่งโลกลูกหนัง?


ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่าเวิล์ลคัฟ 2010 นัดที่ ทีมชาติเยอรมันนีโม่แข้งกับทีมชาติอังกฤษ ก่อนหมดเวลาในครึ่งแรกไม่กี่นาที เกิดเหตุการณ์นรกแตกขึ้น เมื่อ พี่แฟรงค์ แลมพาร์ด กระดกบอลข้ามหัวนายทวารหนักของเยอรมันนี ก่อนบอลจะชนคาน ข้ามเส้น และเด้งออกมา ก่อนที่ นอยเออร์ จะทำตัวเนียน เข้าไปรับลูก พลางทำหน้าให้กรรมการว่า "มันยังมะเข้าชิมิเคอะ?"
ไอชิปหาย!!!! ตุลาการสนาม นามว่า"" กลับส่ายหัวพลางยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับมั่นใจว่า ลูกนี้ไงๆก็ไม่เป็นประตู
นาทีนั้นผมอยากจะเอาตีนของผมกระแทกเข้าไปในจอโทรทัศน์เพื่อที่จะกระทืบกรรมกรผู้นี้เสียจริงๆ
ท้ายสุด อังกฤษเสียหมาไป 1 - 4
หลังจากเกิดเหตูการณ์นี้ขึ้น ก็ได้เกิดคำถามขึ้นมา(อีกครั้ง)ว่า ถึงเวลาแล้วยังที่จะใช้เทคโนโลยี ช่วยในการตัดสิน ฟุตบอล ฟีฟ่า ซึ่งนำโดย"ท่านประธาน" ยังคงทำหน้าตาเหมือนตาแก่หัวงูก่อนจะบอกว่า "อั๊วไม่เอาเทคโนโลยี"และยักไหล่พร้อมยืนกรานว่า "ความผิดพลาดของตุลาการสนาม คือมนต์สเน่ห์แห่งโลกลูกหนัง"
ไอห่า!!!! ไม่ทราบว่าใครบอกมึงครับว่า ความผิดพลาดของกรรมการคือมนต์สเน่ห์แห่งโลกลูกหนัง

ยอมรับครับว่าเมื่อก่อนล่ะโครตเกลียดเลยกับกรรมการที่ตัดสินผิดพลาดชนิดที่ว่า มวยวัดมึงก็ไม่สมควรไปเป็นกรรมการ โดยเฉพาะถ้าผลเสียเสือกมาเกิดกับ แมนฯยูไนเต็ด ผมจะสบถกับตัวเองว่า "ไอ้เชี่ย เอาอีกแล้วไอ้กรรมการหัวค...ย" และผมเชื่อว่าหลายคนคงยังเป็น หรือ เคยเป็นแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

หากแต่ลองคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว เหตุการณ์ไม่ยุติธรรมแบบนี้มันสามารถเกิดได้กับทุกทีม ทุกฝ่ายและที่สำคัญการตัดสินผิดพลาดของตุลาการสนามมันนำมาซึ่งสิ่งคลาสสิคหลายต่อหลายอย่างแล้วนะครับ

หากจำกันได้ ปี 1986 อาร์เจนติน่า ซึ่งนำทัพโดยเทพเดินได้อย่าง มาราโดน่า สามารถคว้าแชมป์มาครองได้นั้น ได้เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดระดับ บรรลันกัลย์ ของผู้ตัดสินขึ้น

ในนัดนั้น อังกฤษแพ้ อาร์เจนฯ ไป 1 - 2 โดยลูกหนึ่งในนั้นเกิดจากการที่ กองหลังของอังกฤษสกัดบอลลอยโด่งอยู่หน้าประตูตัวเอง ปีเตอร์ ชิลตัน(นายทวารตอนนั้นของอังกฤษ) และ มาราโดน่า กระโดดเข้าหาลูกบอลพร้อมกัน

ชิลตัน น่าจะคว้าบอลได้ด้วยความสูงที่เหนือกว่าพี่เตี้ยชนิด ยีราฟ กับ หมีแพนด้า

แต่...ไอ้ชิปหาย!!!! สังสยมาราโดน่า คงนึกอะไรไม่ออกเลยยื่นมือสั้นๆของแกออกมาปัดลูกบอลเข้าประตูไป...ซะงั้น????

แฮนด์บอลครับ ลูกนี้ขนาดหมาบ้านผมมันยังรู้เลยว่า แฮนด์บอล

แต่ชิปหายหนักกว่าเดิมอีกครับ กรรมการในสนามเป่าให้เป็นลูกได้ประตู ท่ากลางความฉงล งงงวย ของชาวบ้านทั่วโลก

ก็ชาวบ้านชาวช่องเค้าเห็นกันทั้งโลกว่ามันแฮนด์บอลชัดๆ แต่กรรมการดันทำตัวน่าโดนกระทืบด้วยการทำเป็นตาบอดไม่เห็นว่าเกิดห่าอะไรขึ้น

และสุดท้าย อาร์เจนติน่า ชนะอังกฤษก่อนจะฝ่าฟันทีมต่างๆจนเป็นแชมป์โลกไปในบั้นปลาย

ถ้าวันนั้นผู้ตัดสินเกิดไม่ผิดผลาด เป่าเป็นลูกแฮนด์บอล และ(ถ้าสมมุติ)ให้แบงค์ร้อย(ใบแดง)กับ พี่เตี้ย มือไว ชาวอาร์เจนไตน์

ขอถามว่าหน่อยวันนี้จะมี ตำนาน "หัตถ์พระเจ้า" ให้พูดถึง หรือเขียนถึงกันอย่างสนุกรูปากอย่างงั้นหรือ?

ดีไม่ดี มาราโดน่า อาจจะกลายเป็นนักเตะ เก่งธรรมดาๆ แต่ไม่ได้กลายเป็นตำนานของชาว อาร์เจนไตน์ก็เป็นได้ หรือคุณจะเถียง?

ไหนจะลูกยิงที่ยังเถียงกันไม่หยุดสักทีว่าข้ามเส้นไปแล้วหรือยัง ของเจฟ เฮิร์ท

ถ้าลูกนั้นกรรมการไม่เป่าให้ได้ประตู ดีไม่ดี อังกฤษอาจจะไม่มีแชมป์โลกสมัยแรกกับเขาเลยด้วยซ้ำ หรือคุณจะเถียง?

.....

.....

.....


ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่า ความผิดพลาดของผู้ตัดสิน มันอาจจะทำให้เรา หงุดหงิด อยากจะกระโดดถีบหน้าคนนั้น มันเป็นอะไรที่ วงการลูกหนังขาดไม่ได้เสียจริงๆครับ

เพราะมันไม่ใช่แค่ มนต์สเน่ห์แห่งโลกลูกหนัง เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ

แต่มันยังเป็น "รสชาติ" อีกแบบของโลกลูกหนัง ซ้ำยังเป็นต้นกำเนิดแห่งตำนานทั้งหลายแหล่ให้เราได้พูดถึง ไปอีกตราบนานเท่านาน

ที่สำคัญ ลองนึกภาพดูสิครับ ที่ผ่านมาพวกคุณทุกคนเคยใช้ชีวิตที่ตรงเถงเป็นไม้บรรทัดกันบ้างหรือเปล่าครับ ผมเชื่อว่า(ถ้าคุณไม่โกหกตัวเอง)คงมีไม่ใครหรอกนะครับ ที่เกิดมาปุ๊ปก็ เป็นเด็กดีจนแก่ตายเลย ดำเนินชีวิต ให้อยู่ในกรอบตลอด ไม่เคย นอกลู่นอกทาง เฉไฉ ไปไหนมาไหนเลย ถ้ามี คนๆนั้นคงเป็นเทวดาแล้ว

ผมเองก็คนหนึ่งที่สมัยเด็กๆ ชีวิตออกนอกลู่นอกทางบ่อยๆ จนแม่ต้องคอยตักเตือนอยู่เป็นประจำว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น แบบนี้

ผมแสยะยิ้มก่อนตอบกลับแม่ไปว่า

"นี่แหล่ะ รสชาติของชีวิต"

โห....ไอ้พอล?!?


นาทีนี้ใครไม่รู้จัก "พ่อหมอพอล" ปลาหมึกนักทำนาย(ผลบอล) คงต้องบอกว่าคนนั้น เชยบรรลัยเลยนะครับคุณน้อง เพราะไอ้หมอนี่ทั้งที่เป็นแค่ปลาหมึกแท้ๆ แต่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วยการทำนายผลฟุตบอลแต่ล่ะคู่ ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ เพราะงั้นใครที่ดูบอลโลกแต่ไม่รู้จัก "พอล" สมควรพิจารณาตัวเองว่าสมควรจะไป เป็นแฟนกีฬาปาเป้าดีกว่านะครับ
วิธีทำนายของเจ้านี่ก็ไม่ยากไม่เย็นครับ แค่เอากล่องใสๆ 2 ใบลงไปวาง ในตู้ที่มันอาศัยอยู๋ ติดธงชาติของทีมที่จะเตะกัน และใส่หอย(ขอย้ำว่าหอย...)ลงไปในกล่องใสๆ 2 ใบนั้น และให้เจ้าพอลมันเลือกเอา ว่าจะเปิด และ แด๊กส์หอย ในกล่องใบไหน ทีมนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ...
ง่ายเท่านี้ล่ะครับ...ขอบอก
พอล เริ่มสร้างชื่อ ด้วยการทำนายทายผลของเฉพาะทีมชาติ"เยอรมันนี" ประเทศที่เป็นบ้านให้มันอาศัยอยู่อย่างเดียวก่อนเท่านั้นครับ
เริ่มแรก ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกที่เจ้าพอล มันเลือก แต่กล่องที่มีธงชาติเยอรมันนี เพราะ พวกพี่ที่นั่นเค้าอาจจะใส่หอยพิเศษที่มีกลิ่นแรงเฉพาะตัวไว้ก็ได้ ทำให้เจ้าตัวมันเลือกที่จะ แด๊กส์ แต่ หอย ของเยอรมันนี เพราะกลิ่นหอยมันดึงดูดและน่าดูดดื่มดีนักแล
ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ถึงไงผมก็คิดว่า พวกพี่ๆ ที่นั่นเค้ามีวิธีอีกหลายวิธีที่จะทำให้ไอพอลมันเลือกธงชาติเยอรมันนี
ตอนแรกบอกตรงๆ ผมคิดว่ามันหลอกเด็กว่ะ
แต่เหตุก็มาเกิด ตอนที่เยอรมันนี จะต้องโม่แข้งกับ สเปน
ไอ้ชิปหาย...เจ้าพอลมันเลือกกินหอยสเปน...ซะงั้น!!!
นั่นแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าหอยสเปน น่ากินกว่า หอยเยอรมันนีนะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
พอถึงเวลาแข่งจริง ผลคือสเปน ชนะ เยอรมันนี 1 - 0!!!!
งานนี้ไอ้พอลงานเข้าสิครับ เพราะดัน(เสือก)ไปทำนายว่า เยอรมันนี แพ้ และผลก็เป็นไปตามที่มันทำนาย แฟนบอลเยอรมันนี ทั้งหลายต่างไม่พอใจในผลที่ไอ้พอลทำนาย จะอยากจะลากมันออกจากตู้เพื่อจะเอาไปทำเป็น ลาบปลาหมึกสด เอาไว้แกล้มเหล้าขาว
แต่ด้วยบุญเก่าที่เคยทำไว้ ทำให้เจ้าของมันเลือกที่จะรักษามันไว้ เพื่อให้มันทำนายผลในนัด ต่อๆไป
และที่บรรลัยถึงใจพระเดชพระคุณกว่านั้นคือ แม่งไอพอลทายถูกหมดเลยครับพี่น้อง!!!!!
ไม่ว่าจะ คู่ชิงที่ 3 อุรุกวัย VS เยอรมันนี มันก็ทายถูก (ทายเยอรมันนี ก่อนเยอรมันนีชนะ 3 - 2) และคู่ชิงแชมป์ สเปน VS ฮอลแลนด์ มันก็ทายถูก (ทายสเปน ก่อนสเปนชนะ 1 - 0)
งานนี้ไม่ต้องให้"หมอลักษณ์" หรือ"หมอกฤษ" มาฟันธง คอนเฟิร์ม ก็รู้ว่าเจ้าพอล ดังแน่ๆ
และเป็นไปตามนั้นครับ ไอ้พอล ดังเป็นน้ำแตก ผู้คนทั่วโลกฮือฮา บางคน(บางสวนสัตว์)ถึงกับเอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกมาทำนายผล ตามไอ้พอลมันเลยทีเดียว
นั่นแสดงให้เห็นนะครับว่า จะเป็นแชมป์โลก เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องพึ่งดวง และ พ่อหมอพอล ด้วย
ว่าแล้วผมนึกขึ้นได้แล้วครับว่า ทำไงถึงจะให้ "ประเทศไทย" เป็นแชมป์บอลโลกกะเค้าได้บ้าง
ไม่ใช่แค่ได้ไป บอลโลกนะครับ ขอ"ย้ำ"ว่า แชมป์โลกครับ แชมป์โลก
นั่นก็คือ ให้ทางสวนสัตว์ของเยอรมันนีที่เลี้ยงเจ้าพอลไว้ นำธงประเทศไทยไปติดไว้ที่กล่อง เวลาแข่งกับใครก็ให้เจ้าพอลมันทำนาย ทีนี้เจ้าพอลมันต้องเลือกหอยในกล่องของทีมชาติไทยอยู่แล้ว เพราะผมเชื่ออยู่แล้วครับว่า "หอยของไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก" ทีนี้เราก็จะได้แชมป์โลกอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมสซี่ กับ โรนัลโด้......ใครเก่งกว่ากัน?


วินาทีนี้ถ้าหากคอบอลทุกประเภทไม่รู้จัก ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ล่ะก็บอกตามตรงเลยครับว่า คนอื่นคงคิดว่าคุณเพิ่งเดินทางออกมาจากหลุมหลบภัย เป็นแน่แท้ เพราะเค้าทั้ง 2 คน คือเทพลูกหนังแห่งยุคปัจบันเลยก็ว่าได้ ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อไทยว่า"แม้นศรี" เรื่องความสามารถนั้น ใครๆต่างก็รู้กันว่าไอ้หมอนี่มันสามรถเลี้ยงลูกราวกับติดตะขอไว้ที่ง่ามตีนไว้คอยเกี่ยวลูก แถมเร็วจนขนากเครื่องบินF16 ยังไม่เห็นฝุ่น เมสซี่ เป็นทุกอย่างให้ บาเซโลน่า ยุคปัจจุบัน จนบางคนบอกว่า เค้าเป็น เทพ แห่ง ลูกหนังคนปัจุบันเลยทีเดียว
ส่วน คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ หรือหลายท่านรู้จักกันในนาน "ไอ้แจ็ตโด้" ไอ้หมอนี่ก็ใช่ย่อย เพราะ ลีลาแพรวพราว มีความว่องไว และความฉลาด อาจจะเลี้ยงลูกไม่เก่งเท่า เมสซี่ แต่ว่ากันว่า เรื่องการเข้าทำประตูทุกรูปแบบ หมอนี่ยัง นำเมสซี่ อยู่หลายขุม ตอนอยู่กับ แมนฯยูฯ หมอนี่ ถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สโมสรไม่ต่างกับ เมสซี่เลย แม้ตอนนี้จะย๊ายมาอยู่ทางฝั่งสเปนกับ เรอัล มาดริด แล้ว แต่ก็ยังคง ยิง ยิง ยิง ไม่หยุด รักษามาตราฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
เพราะเป็นแบบนี้เลยเกิดคำถามขึ้นมาคำถามหนึ่ง(ซึ่งถามกันหลายครั้งแล้ว) ว่า ลิโอเนล เมสซี่ กับ คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ ใครกันแน่ที่เก่งกว่ากัน?
ถึงแม้ว่า ความเก่งกาจอาจวัดกันที่ความสำเร็จ ซึ่งปัจุบัน เมสซี่ ประสบความสำเร็จมากกว่าโรนัลโด้ แต่ก็ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆ รอบข้างด้วย เพราะถ้าหันมองไปดูรอบข้างทีม บาเซโลน่า ของเมสซ๊ เราจะเห็นทั้ง ซาบี เฮอร์นานเดซ อันเดียส อินเนียต้า ดานี่ อัลเวส หรือแม้กระทั้ง เธียรรี่ อองรี และอิบราฮิมโมวิด รอบกาย เพราะงั้นทีมที่เจอกับบาเซโลน่า คงจะจับตาแต่ เมสซี่ ไม่ได้ เพราะพวกที่กล่าวมาข้างต้น ก็มีพิษสงไม่แพ้เมสซี่ เลยสักคน(นับรวมอองรี กับ อิบราฮิมโมวิดด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า)
มันจึงทำให้เมสซี่เล่นได้สะดวกโยธินมากขึ้น เพราะพวกตัวประกอบ(ที่ฝีตีนไม่ใช่ตัวประกอบ)เหล่านี้คอยยืนอยู่รอบข้าง
ต่างกับสมัยที่โรนัลโด้เล่นอยู่กับ แมนฯยูฯ ทุกคนต่างจับตา จับตาย และไล่เตะแต่โรนัลโด้ เกือบยกทีม เพราะเมื่อหันไปมองเพื่อนๆรอบกายโรนัลโด้ ต่างมีดังเช่น ดาร์เรน เฟล็ชเชอร์(เหวอ) อันแดร์สัน(แหวะ) เวสส์ บราวว(เชี่ย) เงี้ย...ไม่ใช่ว่าพวกที่กล่าวมาไม่ดีนะครับ แต่ต้องยอมรับกันจริงๆว่า ยังสู้ของ บาเซโลน่าไม่ได้อยู่ดี
และที่สำคัญรางวัลที่ เมสซี่ได้ โรนัลโด้ เองก็เคยได้ในระดับที่ต้องบอกว่าฟอร์มใกล้เคียงกันมาก เพราะงั้น ถ้านับเฉพาะความสำเร็จอาจจะตัดสินได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ถึงยังไง หมายเลข 1 ก็ยังคงมีได้แค่คนเดียว
ว่าแล้วผมนึกถึงคำถามที่เพื่อนผม ไอ้บอล(นามสุมมุติ) เคยถามผมไว้เมื่อครั้งแมนฯยูฯ ยังมีโรนัลโด้ อยู่
บอล: ไอ้ภัท ระหว่างโรนัลโด้ กับ เมสซี่ มึงชอบใครมากกว่ากัน?
เนื่องด้วยผมเป็นแฟน แมนฯยูฯ ในสายเลือดและคิดมาตลอดว่า โรนัลโด้ครบเครื่องกว่าเมสซี่ จึงอยากตะโกนบอกมันเหลือเกินว่า"ไอห่า ถามไม่คิด ก็โรนัลโด้ น่ะสิ" แต่เหมือนมันจะรู้ความคิดผมก่อนมันจะพูดขึ้นว่า
บอล: มึงลองคิดดูดีๆนะเว้ย กูถามเนี่ยไม่ใช่ว่าใครเก่งกว่ากัน แต่กูถามว่ามึงชอบใครมากกว่ากัน?
ผมหยุดกึก นิ่งพักหนึ่งก่อนคิดตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ก็เลยตันสินใจถามกลับมันไปเพื่อเป็นแนวทางให้กับตัวเองว่า
"แล้วมึงล่ะ ไอ้บอล มึงคิดว่ามึงชอบใครมากกว่ากัน"
ไอฉิบหาย ผมถึงกับอึ้งแด๊กส์ เนื่องด้วยมันเป็น เดอะ ค็อป ตัวจริง แต่คำตอบมันคือ
บอล: กูชอบโรนัลโด้มากกว่าว่ะ
"เพราะอะไรวะ สัด" ผมถามมัน
บอล: ก็โรนัลโด้น่ะ ลีลาเด็ด ส่วนเมสซี่ เลี้ยงลูกเก่งใช่ป่ะ?
"เออ"
บอล: งั้นกูถามมึงคำเดียวว่า ถ้ามึงได้แฟน มึงจะเลือกอะไร ระหว่าง เลียงลูกเก่ง กับ ลีลาเด็ด
"!!!!!!!!!!!!!!!"

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีรับมือกับบอลโลกแบบมืออาชีพ

วิธีรับมือกับบอลโลกแบบมืออาชีพ?

มหกรรมโม่แข้งของบรรดาดาวดังระดับโลกมาถึงทีไร คอบอลอย่างเราๆ ท่านๆต้องเจอปัญหาบ้างไม่มากก็น้อย ครั้นไอ้คนบ้าบอลย่างเราจะนั่งให้ปัญหามันเกิดขึ้นมาเฉยๆมันก็คงใช่ที่ นี่คือปัญหาที่อาจตามมาในช่วงมหกรรมบอลโลกและวิธการที่จะรับมือกับมันแบบมืออาชีพ ซึ่งใช้ได้ผลจริงๆ(โดยตัวผู้เขียนเอง)จึงอยากจะนำมาเผยแพร่สู่ทุกๆท่านที่อ่านบทความนี้

ซึ่งหากเกิดปัญหาเหล่านี้กับผู้อ่าน พวกท่านอาจจะเอาไปใช้หรือปฏิบัติตามกันก็ไม่ว่าแต่อย่างใด


  1. เมีย? นี่คือปัญหาที่หนักสุดๆสำหรับคนบออย่างพวกเรา เนื่องจากธรรมชาติ ไม่ได้สร้างผู้หญิงมาให้คลั้งไคล้ในกีฬาลูกหนังแบบผู้ชาย ผู้ชายทุกท่านคงจะเคยเจอกับประสบการณ์แบบนี้ เช่นว่า ในขณะที่ดูบอลมันๆ "ตะเอง เค้าอยากจะกินข้าวมันไก่อ่ะ พาเค้าออกไปกินหน่อยดิ" หรือ "ตะเอง เค้าเกิดอาการแบบว่าขึ้นมาน่ะ กรุณาจัดให้หนูสักดอกได้มะคะ?" หรือว่า "ตะเอง กินไอติมป้ะ? เค้าซื้อมาให้จากสวนลุมฯ เลยน้า" แหม....อยากจะตะโกนกลับว่า "เชี่ย...แด๊กส์ บ้านพ่องมึงดิ" เหลือเกินนะครับอารมส์นั้นเหอเหอเหอ.... เท่านั้นไม่พอ แฟนของบางคนอยากดูละครอยากดูละครในช่วงเวลาเดียวกับการถ่ายทอดสดฟุตบอล เป็นไงล่ะครับงานนี้ จะดูบอลก็โดนเค้าโกรธ จะให้เค้าดูเราก็อดดูบอลดิ 4ปี มีครั้งเดียวเอง ทำไปทำมา อาจทะเลาะกันอีก ในกรณีนี้อาจจะได้มีมหกรรมโม่หมัดกะแฟนเราก่อนจะดูมหกรรมโม่แข้งของนักฟุตบอลก็ได้ .........วิธีแก้"เงียบ" เงียบเอาไว้ครับ เอาให้รู้ไปเลยว่า แม่งกูสนใจแต่บอล มึงจะทำอะรก็เชิญ จะแก้ผ้ารดน้ำต้นไม้ก็เชิญตามสบายเลยครับ บอลจบแล้วค่อยมาว่ากันต่อแต่ถ้าเงียบแล้วเอาไม่อยู่ ขั้นต่อไปก็ต้อง "หนี" ครับ ในเมื่อดูในบ้านไม่สนุก ดูนอกบ้านก็ได้ แถมบางทีอาจจะได้เจอคอบอลพวกเดียวกันอีก ถ้ายังไม่ได้ผล ขั้ต่อมาคือ "ตบ" ครับ ตบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตบหน้าแฟนนะครับ แบบนั้นมันไม่แมนเลยอ่ะตะเอง(ทั้งที่จริงๆก็อยากตบ) ตบที่ว่าคือตบโต๊ะ เปรี้ยง!!! พลางทำหน้าตาขึงขัง โมโหโทโสประทาณว่า จะอะไรนักหนา กูไม่ยอมมึงแล้วนะขืนยังมายุ่มย่านอีกอาจจะการเตะเมียแทนเตะบอลก็เป็นได้คราวนี้ถ้าเค้ายังไม่ยอมอีกก็มีทางเดียวครับ............เลิก เลิกแม่งเลย นอนกับบอลสักเดือนพอบอลจบก็ค่อยไปง้อ ใครหน้าตาดีก็หาใหม่เอาก็ได้ เพราะถ้ามีเมียเป็นคนเดิม 4 ปีข้างหน้าก็จะเกิดเหตการณ์แบบนี้อีก สรุป คือเลิกเลยครับ หมอนวดมีเยอะแยะ ฮ่าฮ่าฮ่า(หากใครมีแฟนชื่นชอบฟุตบอลอยู่แล้วก็ให้ข้ามข้อนี้ไปเลยนะ ถึงคุณจะอ่านมาจบจนแล้วก็เหอะ...เหอเหอเหอ

  2. งาน? อะไรกันนักหนาวะเจ้านาย จะโทรฯตามทำไมวะ แถมยังด่ากูซะเสียสุนัขอีก มึงทะลาะกับเมียที่บ้านมาหรือครับพี่? วิธีแก้ ง่ายๆเลยครับ พี่น้อง ลาออกเลยครับ งานหาใหม่ก็ได้ ลาออกดูบอลดีกว่า ถือเป็นการชาร์ตแบ็ทไปในตัว 1 เดือนเต็มๆบอลจบ ค่อยว่ากันต่อ แต่คุณต้องมั่นใจนะครับ คุณจะมีค่าใช้จ่ายพอสำหรับ 1 เดือนที่ว่างงานได้ เพราะไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าหมอนวด(หากทำตามข้อที่ 1 ) และอีกหลายๆอย่าง ฉะนั้น And ฉะนี้ คุณต้องมั่นใจนะครับ แต่ถ้าเป็นคอบอลจริงๆ ล่ะก็ ลาออกเลยครับ ไม่ต้องลังเล อดอะไรอดได้ แต่ถ้าอดดูบอล ตายห่านกันพอดี

  3. ดึก? แม่ง ทำไมบอลแต่ละคู่ มาดิกนักวะ? เพราะแบบนี้อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกสั้นๆว่า"ง่วงฉิบหาย"ขึ้นได้ วิธีแก้ ง่ายๆเลยครับ กาแฟ ชา น้ำอัดลม เบียร์ หรือเหล้าก็ได้(2อันหลังไม่รู้จะช่วยจริงป่าว?แต่เห็นชอบกินกันจัง) แล้วแต่จะสะดวกเลยนะครับ แต่ต้องไม่ให้เดือดร้อนชาวบ้านชาวช่อง และต้องไม่ผิดกฎหมายด้วยนะครับ(อันนี้สำคัญ)
  4. การพนัน? อันนี้สำหรับบางคนอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นตัณหาเลยก็ได้ครับ บอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า ผมเกลียดการพนันเข้าใส้ติ่งชนิดเรียกได้ว่า"ตายแล้วไม่ยอมไปเผาผี"กันเลยทีเดียว แถมตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเล่นพนันบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เพราะด้วยความเป็นคนที่ติดตามบอลมานาน เพื่อนๆผมจึงมักมาถามเป็นประจำว่า"เฮ้ย ภัท คืนนี้ทีเด็ดไร" หรือ "ครึ่งลูก รองได้ป่าววะ เพื่อน?" แหม อยากตอบเหลือเกินนะครับ ว่า"ไปถามป้ามึงดิ" แต่พูดแบบนั้นเดี๋ยวเพื่อนมันพาลจะตบเราหัวทิ่มเอา เลยได้แต่บอกไปว่า "การพนันไม่ทำให้ใครรวยขึ้นมาหรอก" วิธีแก้ อันนี้ไม่รู้จริงๆครับ เพราะไม่เคยเล่นการพนันเลยส่วนไอ้พวกที่เล่นๆกันอยู๋ มันก้อคงไม่อยากจะแก้ ล่ะมั้ง? ฮ่าฮ่าฮ่า
  5. ตี? เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ว่าแล้วถ้าทีมที่เรารัก หรือเชีย ไม่ชนะ ก็ยวกพวกตีอีกฝ่ายแม่งเลย อันนี้เกิดขึ้นบ่อยแถวบ้านผม อัตราความน่ารำคาญอยู่ในระดับที่เหนือกว่า พวกที่ชอบเล่นการพนันซะอีก เพราะมันเดือดร้อนชาวบ้านตัวดำๆ อย่างเราๆท่านๆทั้งหลาย กรุณาไปตี(กันให้ตาย)ที่อื่นได้มั๊ยเพ่? แหม ทางรัฏบาล น่าจะจัดลานใหญ่ๆ แล้วตั้งชื่อลานนั้นว่า "สนามประลองยุรธ" ให้พวกแม่ง ตีกันทั้งวันเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนชาวบ้านเค้า วิธีแก้ อันนี้ต้องแก้ด้วยวิธีการคือไม่ต้องเอาลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดฟุตบอลทุกชนิดมาถ่ายในไทยเลยครับ เพราะเด๋วมันเห็นทีมมันแพ้ มันก็ยกพวกตีกันอีก แต่เอ...ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันอาจจะยกขบวนไปตีพี่ๆที่เคยซื้อลิขสิทธิ์แทนก็ได้ งั้นตายกันพอดี

อันนี้เป็นวิธีแก้ ที่ทางผม คิดขึ้นมาเอง บางอย่างก็ทำมาจริง บางอย่างก็ไม่เคยทำใครจะลองเอาไปใช้กันก็ไม่ว่าอะไรนะครับ และไม่ใช่ว่าจะใช้ได้แต่บอลโลกนะครับ จะบอลไหน บอลอะไร ที่ถ่ายทอดสด ก็ใช้ได้หมดเลยแหล่ะครับ

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เริ่มเขี่ยลูก
"ฟุตบอล"เดี๋ยวนี้ใครไม่รู้จักกีฬาชนิดนี้ บอกได้เลยว่า เชยระเบิดนาปาล์ม ยิ่งในช่วงนี้มีมหกรรมโม่แข้งของเหล่าสุดยอดนักเตะ ระดีบโลกอย่าง World Cup ทั่วทั้งโลกต่างตกอยู่ในกระแส World Cup Fever เพราะแบบนี้เลยพูดได้ว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมที่สุดในโลก(หรืออย่างน้อยก็ในบ้านเรา) ผมเองเป็นคนนึงที่ติดตามฟุตบอลมามากพอสมควร(12ปี) ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับฟุตบอลเลย แต่ถ้าถามถึงความคลั่งไคล้ ที่มีต่อลูกหนังใบกลมๆล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า มันไหลอยู่ในเส้นเลือดเลยทีเดียวเชียวล่ะ และบวกกับที่อยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทั้งความบ้าและความอยากมารวมกันมันเลยสั่งให้ผมติดสินใจที่จะจัดทำ"บล็อค"นี้ขึ้นมา เพื่อนที่จะแสดงความคิดเห็นของผมที่มีต่อโลกลูกหนัง ในมุมมองของผมเอง ในขณะเดียวกันก็อยากให้คนอื่นได้ติดตามและติชมด้วยว่าผลงานการเขียนของผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนที่มีฟุตบอลในสายเลือดเหมือนผมจะเข้าใจและให้การติดตามบทความเหล่านี้ของผม และขอขอบคุณทุกท่านที่ แวะเข้ามาชมบล็อคนี้เป็นอย่างยิ่งครับ
Pat